BCP เผยปี 59 เตรียมงบ 3 พันลบ.ขยายธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน-นอนออยล์

BCP คาดผลประกอบการในปีนี้ หากไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันก็เชื่อว่าจะมีผลประกอบการในระดับที่ดี และน่าจะทำ EBITDA ได้ตามเป้าหมาย เผยปี 59 เตรียมงบ 3 พันลบ.ขยายธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน-นอนออยล์ ตั้งเป้าเปิดสถานี้น้ำมัน 60 แห่ง


นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในปี 59 จำนวน 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil) เพื่อรองรับตลาดน้ำมันที่เชื่อว่าจะยังมีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนในปีนี้

โดยวางเป้าหมายจะเปิดสถานีบริการน้ำมันใหม่ 60 แห่ง จากปีนี้ที่เปิดใหม่เกือบ 40 แห่ง ซึ่งเป็นไปตามแผนที่จะมีสถานีบริการน้ำมันมาตรฐาน 700 แห่งภายในปี 63 จากจำนวนสถานีบริการทั้งหมดทึ่คาดจะมีราว 1.2-1.3 พันแห่งทั่วประเทศ โดยจะใช้เงินลงทุนตามแผนดังกล่าวราว 1 หมื่นล้านบาท         

ปัจจุบันมีสถานีบริการทั้งสิ้น 1,060 แห่ง ในส่วนนี้เป็นสถานีบริการน้ำมันมาตรฐาน 450-460 แห่ง ส่วนที่เหลือเป็นสถานีบริการน้ำมันสหกรณ์และชุมชน

ขณะที่บริษัทวางแผนการสร้างเครือข่ายในระดับดังกล่าวนั้นเชื่อว่าจะเพียงพอต่อการรุกตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง โดยมองว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้าภาพการใช้น้ำมันจะเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ที่อาจทำให้การใช้น้ำมันไม่เติบโตมากนัก จากการที่ประเทศจะมีโครงการรถไฟฟ้าเกิดขึ้นหลายเส้นทาง รวมถึงคาดว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในอนาคตด้วยซึ่งอาจทำให้การใช้น้ำมันชะลอตัวลง

ดังนั้นบริษัทจึงหันมาเน้นการเพิ่มบริการในส่วนของธุรกิจนอนออยล์เพิ่มขึ้น โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของนอนออยล์เพิ่มเป็น 30% และธุรกิจน้ำมันลดลงมาที่ 70% จากปัจจุบันที่มี EBITDA จากนอนออยล์ 10% และธุรกิจน้ำมัน 90%

ขณะที่คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันในปีหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีนี้ที่คาดเติบโตราว 6% ซึ่งเป็นผลจากระดับราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ โดยน้ำมันเบนซินเติบโตมากราว 13-14% ส่วนการใช้น้ำมันดีเซลขยายตัวเพียง 6-7%

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะขายน้ำมันจากโรงกลั่นผ่านช่องทางการจำหน่ายของบริษัทให้มากที่สุด เพราะมีมาร์จิ้นที่ดี จึงต้องสร้างเครือข่ายซึ่งรวมถึงสถานีบริการให้รองรับกับกำลังการกลั่นที่จะเพิ่มขึ้นเป็นราว 1.4 แสนบาร์เรล/วันในปี 63 จากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่น 1.2 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันการขายน้ำมันจากโรงกลั่นยังมีบางส่วนที่จำหน่ายให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ตามสัญญาการซื้อขายน้ำมันระหว่างกันที่มีมาก่อนหน้านี้

ส่วนการขยายสถานีบริการน้ำมันไปในต่างประเทศยังมีข้อจำกัดของแต่ละประเทศ เช่น ลาวที่การขอใบอนุญาตของรายใหม่ทำได้ยากขึ้น ส่วนกัมพูชายังมียอดการใช้ไม่มากนัก และเมียนมาร์ก็ยังไม่ได้เปิดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนเต็มที่ โดยปัจจุบันบางจากฯมีสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศ เพียง 2 แห่งในเมียนมาร์ ซึ่งเป็นลักษณะของดีลเล่อร์ ก็อาจจะมีการขยายอีก 2-3 แห่งในรูปแบบเดียวกันในอนาคตเพื่อเป็นการทดลองตลาด

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ หากไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันก็เชื่อว่าจะมีผลประกอบการในระดับที่ดี และน่าจะทำ EBITDA ได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากมาร์จิ้นโรงกลั่นและการตลาดอยู่ในระดับที่ดี แต่เมื่อพิจารณาผลกระทบจากสต็อกน้ำมันก็คาดว่าปีนี้จะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในระดับต่ำกว่าปีที่แล้ว แม้ราคาน้ำมันดิบจะลงมาระดับต่ำที่กว่า 32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลก็ตาม เนื่องจากในปีนี้ส่วนต่างราคาน้ำมันในช่วงต้นปีและปลายปีจะแคบกว่าในปี 57

ส่วนราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำก็จะส่งผลต่อผู้ประกอบการในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ที่จะต้องชะลอการลงทุนในหลุมสำรวจและผลิตเพราะไม่สามารถทำกำไรได้ แต่ก็เป็นโอกาสในการมองหาการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งบริษัทก็อยู่ระหว่างการพิจารณามองหาโอกาสการลงทุนด้วยเช่นกัน

ด้านนายโชคชัย อัศวรังสฤษฏ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการตลาดและคลังน้ำมัน ของ BCP กล่าวว่า การลงทุนในธุรกิจ E&P โดยผ่าน Nido Petroleum Limited (Nido) นั้น ขณะนี้แม้จะไม่สามารถทำกำไรได้ แต่ก็คาดว่าทั้งปีนี้จะยังมี EBITDA เป็นบวก และยังคุ้มกับการผลิตน้ำมัน โดยปัจจุบัน Nido มีต้นทุนการผลิตระดับราว 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปรับลดลงมาในระดับกว่า 32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในขณะนี้ยังเป็นช่วงระยะสั้น แต่หากมีปัจจัยที่ยืนยันได้ว่าราคาน้ำมันดิบจะยืนในระดับต่ำอย่างนี้อีกนานก็อาจทำให้ Nido อาจต้องหยุดการผลิตด้วยเช่นกัน ส่วนจะต้องมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์เพิ่มเติมหรือไม่นั้นคงต้องพิจารณาในช่วงสิ้นปีนี้อีกครั้ง แม้ในปีที่ผ่านมา Nido ได้มีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ไปบ้างแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสการลงทุนธุรกิจ E&P ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคาดว่ามูลค่าซื้อโดยทั่วไปควรจะอยู่ในระดับ 100-200 ล้านเหรียญสหรัฐ

Back to top button