กลุ่ม “เจมาร์ท” ดีดคึก! แนวโน้มครึ่งปีหลังฟื้น-เข้าไฮซีซั่น ย้ำผ่านจุดต่ำสุด

กลุ่ม “เจมาร์ท” ดีดคึก! แนวโน้มครึ่งปีหลังฟื้นยอดขายทุกธุรกิจเติบโตดี พร้อมเข้าช่วงไฮซีซั่น ขณะที่ผลกระทบจากการตั้งสำรองได้เกิดขึ้นหนักเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2/66 ที่ผ่านมาจาก SINGER ซึ่งผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ส.ค. 66) ณ เวลา 11:03 น.ราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ทปรับตัวขึ้นทั่วหน้า นำโดย บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 17.40 บาท บวก 1.20 บาท หรือ 7.41% สูงสุดที่ระดับ 18.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 16.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 716.02 ล้านบาท

บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 8.00 บาท บวก 0.55 บาท หรือ 7.38% สูงสุดที่ระดับ 8.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 327.67 ล้านบาท

บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 41.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.38% สูงสุดที่ระดับ 41.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 40.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 650.26 ล้านบาท

บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.43 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.38% สูงสุดที่ระดับ 1.49 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.32 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 44.54 ล้านบาท

บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.46 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 2.50% สูงสุดที่ระดับ 2.66 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.28 ล้านบาท

บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 6.10 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 2.52% สูงสุดที่ระดับ 6.15 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.95 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.75 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลัง 66 บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลการดำเนินงานกลับมามีผลกำไรสุทธิ จากในไตรมาส 2/66 ที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองฯของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด จากบริษัทร่วม ซิงเกอร์ ประเทศไทย ซึ่งบริษัทคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2/66

โดยบริษัทคาดว่าในไตรมาส 3/66 และไตรมาส 4/66 สถานการณ์ของบมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) จะกลับสู่สภาวะที่ใกล้เคียงกับสภาวะปกติ โดยธุรกิจในส่วนอื่นๆของกลุ่มบริษัทยังคงมีทิศทางในการเติบโตของธุรกิจได้ตามแผน โดยมีปัจจัยสำคัญจากธุรกิจติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของบมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ยังคงเป็นฐานกำไรสำคัญหลักของกลุ่ม ซึ่งมีแนวโน้มในการเติบโตที่ดีและมีโอกาสในการมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นจากหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่งได้ลงทุนมาในไตรมาส 2/66 อีกทั้งยังมีการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรในบริษัทกิจการร่วมค้าที่มีโอกาสในการเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต

ขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การดำเนินงานของบมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) เตรียมเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ JAS Green Village คู้บอน ที่จะเปิดภายในไตรมาส 3/66 จึงเป็นโอกาสในการสร้างฐานรายได้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ และอนาคต

ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้เข้าสู่ช่วง High Season ในการดำเนินการ เนื่องจากมีมือถือรุ่นใหม่ๆที่จะทยอยเปิดตัวตั้งแต่ไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป ทั้งในส่วนของแบรนด์ Samsung และ iPhone ซึ่งเป็นพอร์ตสินค้าหลักของ เจมาร์ท โมบาย

นอกจากนี้ ธุรกิจที่บริษัทได้เข้าลงทุนคือ บีเอ็นเอ็น เรสตัวรองท์ หรือ Suki Teenoi มีโอกาสที่ผลประกอบการจะเติบโตขึ้น จากการขยายสาขาไปในต่างจังหวัดตามแผนธุรกิจ

“ผมยังคงมีมุมมองในเชิงบวกในด้านผลประกอบการในอนาคต ซึ่งธุรกิจในส่วนแกนหลักของบริษัทยังคงมีโอกาสเติบโตตามสภาพเศรษฐกิจที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” นายอดิศักดิ์ กล่าว

Back to top button