PLUS เด้ง 7% ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้น รับกำลังผลิตใหม่-บาทอ่อนค่า
PLUS ดีด 7% ลุ้นครึ่งปีหลัง 66 ฟื้นตัว รับรู้กำลังการผลิตใหม่จากโครงการ PET Aseptic รวมถึงแนวโน้มการส่งออกคาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่อง และเงินบาทอ่อนค่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ส.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS ล่าสุด ณ เวลา 15:11 น. อยู่ที่ระดับ 8.10 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 6.58% สูงสุดที่ระดับ 8.15 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.55 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 41.28 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้นที่ดีดกลับขึ้นมา รับข่าว นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ PLUS เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 66 บริษัทคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic (สายการผลิตขวดพลาสติก PET) และแนวโน้มการส่งออกคาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มราคาต้นทุนวัตถุดิบมองว่าไม่ได้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3/66 บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้ผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว อีกทั้งมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ประกอบกับแผนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของลูกค้าในสหรัฐฯ มีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นส่งผลให้คำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
“บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic ล็อตแรกภายในไตรมาส 3/66 โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อของลูกค้ารองรับกำลังการผลิตในสายการผลิตขวด PET ไว้บางส่วนแล้ว จะหนุนรายได้ให้เติบโตและต้นทุนทรงตัว” นายพลแสง กล่าว
ด้าน บล.หยวนต้า ระบุว่า คาดแนวโน้มกำไรปกติครึ่งปีหลัง 66 เติบโตต่อทั้งเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 3/66 คาดมีโอกาสกลับมาเติบโตทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส โดยได้รับแรงหนุนจาก 1) การเข้าสู่ช่วง High season ของสหรัฐจากการเข้าสู่ช่วงหน้าร้อน หนุนความต้องการสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม 2) การรับรู้กำลังการผลิตใหม่ราว 30% จาก Aseptic Line
3) ยอดสั่งซื้อที่เร่งตัวขึ้นจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใน Walmart จากเดิมที่ 2,000 สาขา เป็น 3,000 สาขาเต็มไตรมาส
ทั้งนี้มองว่าในปีนี้ PLUS จะสามารถเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ระดับมากกว่า 50%จาก 1) การรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาส 2) การออกสินค้าใหม่ในรูปแบบขวดพลาสติก (PET) สำหรับการเจาะตลาดยุโรป, เอเชีย และประเทศไทยที่คาดจะเห็นการส่งออกได้ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 4/66 เป็นต้นไป