CBG บวก 4% โบรกแนะ “ซื้อ” อัพเป้า 97.5 บ. ชี้กำไรปี 66-67 โต 18%
CBG บวกต่อ 4% โบรกชี้กำไรปี 66-67 โตเฉลี่ย 18% เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ราคา 12 บาท ปรับคำแนะนำราคาเป้าหมายใหม่เป็น “ซื้อ” 97.5 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ส.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ณ เวลา 11:13 น. อยู่ที่ระดับ 87.25 บาท บวก 3.00 บาท หรือ 3.57% สูงสุดที่ระดับ 89.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 86.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 657.81 ล้านบาท
บล.กรุงศรี พัฒนสิน มีมุมมองบวกต่อประชุมนักวิเคราะห์ของ CBG ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 97.5 บาท อิงค่า PER อยู่ที่ 37 เท่า โดยปรับประมาณการกำไรปี 66-67 ขึ้นเฉลี่ย 18%
ทั้งนี้บริษัทวางเป้ายอดขายปี 66 อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท จากภาพเครื่องดื่มชูกำลังที่ฟื้นตัวทั้งในและต่างประเทศ โดยจุดที่น่าสนใจคือ 1) การบุกตลาดเบียร์ของกลุ่มบริษัทแม่ของ CBG ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ 6 แสนล้านบาท ประมาณ 6-7 เท่าของตลาดชูกำลังจะเริ่มจำหน่ายในเดือน ต.ค.-พ.ย. บริษัทจะมีรายได้จากการผลิต Packaging ครบวงจรและการจัดจำหน่าย มองเบื้องต้นรวมเป็นกำไรขั้นต่ำราว 2-4 บาทต่อยูนิต ซึ่งบริษัทวางเป้าขาย 30 ล้านยูนิตต่อเดือน ภายใต้ Market share 5-6% คาดเป็นกำไรขั้นต้นราว 60-120 ล้านบาทต่อเดือน
2) กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังมีแนวโน้มพิจารณาเปิดตัวสินค้าราคา 12 บาท ในช่วงปีหน้า จะทำให้กลุ่มฯ ชูกำลังน่าสนใจอีกครั้ง หลังกลยุทธ์สวนทางมาตลอดที่ผ่านมา และ 3) เบื้องต้นมองกำไรไตรมาส 3/66 เติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้าได้
อย่างไรก็ตาม เชิงกลยุทธ์ ระมัดระวังช่วงปลายเดือนส.ค. หุ้นจะออกจาก MSCI โดยมีผลราคาปิดวันที่ 31 ส.ค.66
บล.ทิสโก้ ระบุว่า คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/66 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากคาดรายได้ในประเทศและส่งออกจะทรงตัวจากช่วง โลว์ซีซั่น แต่คาดอัตราทำกำไรจะเพิ่มขึ้นได้จากไตรมาสก่อนหน้าจากต้นทุนวัตถุดิบที่เริ่มลดลงโดยเฉพาะต้นทุนอะลูมิเนียมกระป๋องปัจจุบัน 2,100 $/ตัน สัดส่วน 15% ของต้นทุนกลุ่มเครื่องดื่ม ช่วยชดเชยกับต้นทุนน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นได้ (สัดส่วน 12-13% ของกลุ่มเครื่องดื่ม) ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66 อยู่ที่ 4.5% และในปี 67 อยู่ที่ 23% ส่วนในปี 68 อยู่ที่ 23%
โดยคาดปีถัดไปจะเพิ่มขึ้นปีละ 11% จากกัมพูชาที่เริ่มดีขึ้น การขยายตลาดเวียดนาม การวางแผนการผลิตในประเทศเมียนมาช่วยลดต้นทุน 2) คาดยอดขายเครื่องดื่มพลังงานในประเทศจะดีขึ้นจากการกลยุทธ์ดึงส่วนแบ่งการตลาดด้านราคาและการทำโปรโมชั่นร่วมกับไทยรัฐฯทีวี
3) ธุรกิจรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้าและเบียร์เพิ่มขึ้นจากสินค้าใหม่ต่อเนื่อง คาดส่วนแบ่งการตลาดจากเบียร์ปี 66-68 อยู่ที่ 3-5% จากมูลค่าตลาด 2 แสนล้านบาท โดยในปี 66 คาดรับรู้รายได้ 2 เดือน คาดอัตรามาร์จิ้นปีนี้ ลดลงจากต้นทุนน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นและการรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้าหรือเบียร์ที่มีอัตรามาร์จิ้นต่ำเพิ่มขึ้น