PRM ดีด 3% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 8 บาท ชี้ครึ่งปีหลังฟื้น รับธุรกิจขนส่งน้ำมัน
PRM ดีด 3% โบรกแนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8 บาท ชี้ครึ่งปีหลังฟื้น รับธุรกิจขนส่งน้ำมัน, จัดเก็บน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป, สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลปรับตัวดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ก.ย. 66) ราคาหุ้น บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ณ เวลา 11:58 น. อยู่ที่ระดับ 6.55 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 3.15% สูงสุดที่ระดับ 6.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 55.53 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มครึ่งปีหลัง 66 ธุรกิจยังไปได้ดีจากครึ่งแรกปีนี้ ที่มีกำไร 1,049 ล้านบาท แต่ก็มีความกังวลเรื่องต้นทุน จากราคาน้ำมันที่มีโอกาสสูงขึ้นจากเอเปกพลัสลดกำลังการผลิต และแยกได้ตามธุรกิจหลัก
โดยธุรกิจขนส่งน้ำมัน การขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว(domestic trading) ดีกว่าครึ่งปีแรก 66 จากการใช้น้ำมันในประเทศสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม JET-A1 ที่ฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ทำให้การขนส่งเพิ่มขึ้น และเรือเคมีที่รับในไตรมาส 2/66 ทำงานได้เต็มกำลังในครึ่งหลังปี 66 และจะมีเรือเคมีลำใหม่อีก 1 ลำเข้ามาต้น ต.ค.66 ซึ่งมีลูกค้าแล้ว และการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ (international trading) ดีกว่าในครึ่งปีแรก 66 จากเรือ VLCC 3 ลำ ยังคงทำงานตามสัญญาจ้าง แม้เรือ Aframax มีแผนจะเข้า Dry Dock 2 สัปดาห์ในเดือน ก.ย. 66 แต่ช่วงไตรมาส 1/66 ค่าระวางเรือที่ได้ต่ำกว่าปัจจุบัน
ขณะเดียวกันธุรกิจขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป (FSU) ลดลงจากครึ่งปีแรก 66 เพราะในไตรมาส 1/66 มีเรือที่สามารถใช้งานได้ 6 ลำ ตั้งแต่ไตรมาส 2/66 จะมีเรือทำงานเหลือ 5 ลำ หลังจากเรือ 1 ลำเข้า Dry Dock และมีผู้มาติดต่อขอซื้อ ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจา จะมีกำไรจากการขายเรือเข้ามาสูงในไตรมาส 3/66 เทียบจากไตรมาส 3/65 ที่มีกำไรขายเรือ FSU 1ลำ ที่ 521 ล้านบาทและการซื้อเรือเพิ่มชะลอไปเพราะราคาเรือปรับตัวขึ้นสูง 30-40% จากPRM เคยลงทุน
นอกจากนี้ธุรกิจขนส่งสนับสนุนงานสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล(Offshore Support) ดีกว่าครึ่งแรกปี 66 จากเรือ AWB (เรือโรงแรมลอยน้ำ) กลับมาทำงานเต็มรูปแบบในครึ่งปีหลัง 66 จากครึ่งปีแรก 66 ที่เข้า Dry Dock ได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น และเรือ Crew Boat ทั้ง 13 ลำรับงานของ PTTEP โดยจะมีรับเรือ Crew Boat ใหม่ 1 ลำในเดือน พ.ย.66 เพื่อไปทำงานต่างประเทศและอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้า หากสำเร็จจะมีการรับเรือเพิ่ม
ทั้งนี้ ในปี 67 บริษัทยังคงเน้นขนส่งน้ำมันโดยเฉพาะเรือขนส่งเคมีภัณฑ์ระหว่างประเทศ จากการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการนำเข้าน้ำมันของไทยที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมองหาการซื้อเรือมือสองเพิ่ม รวมถึงจะต่อเรือใหม่อย่างน้อย 6 ลำ ซึ่งใช้เวลาในการต่อเรือ 14-24 เดือนและธุรกิจออฟชอร์ จะมีการรับเรือ Crew Boat อีก 1 ลำ ในเดือน ก.พ. 67 และจะเพิ่มเรือในบริการประเภทอื่น ๆ จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ยังมีต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านนี้และจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้สูงขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างหาโอกาสในการ M&A หรือ JV
ด้านฝ่ายวิจัย มีการปรับคาดการณ์รายได้ลงเป็น 8,354 ล้านบาท แต่ปรับกำไรขึ้นเป็น 2,004 ล้านบาท จากอัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรก 66 ที่ดีกว่าคาด ซึ่งยังไม่รวมกำไรขายเรือในไตรมาส 3/66 โดยในปี 67 แม้จะยังเติบโตแต่จะชะลอการโตลงและให้ติดตามแผนการขยายกองเรือที่จะสร้างการเติบโตดีกว่าที่คาดไว้เพื่อเป็นการระมัดระวังจากการเติบโตที่จะชะลอตัวลง ปรับ P/E จาก 12 เท่าเป็น 10 เท่า ราคาพื้นฐานปี 66 ปรับเป็น 8 บาท ซึ่งยังมี upside ที่สูงอยู่ จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”