ไทยวาง 4 มาตรการเข้ม เรียก “ความเชื่อมั่น” นทท.จีน หลังเหตุกราดยิงกลางห้างดัง

“ก.การท่องเที่ยวฯ” ผสาน “ก.การต่างประเทศ” เร่งชี้แจงเหตุการดยิงกลางห้างฯสยามพารากอน หลังนทท.จีนส่อกังวลความปลอดภัย เข้มมาตรการดูแลพื้นที่สาธารณะ เดินหน้าประชาสัมพันธ์เชิงรุกไปถึงประเทศจีน


เหตุการณ์เด็กวัย 14 ปี ก่อเหตุกราดยิงจนให้ห้างสรรพสินค้า “สยามพารากอน” กลายเป็นข่าวใหญ่ที่โด่งดังไปทั่วโลก ไม่เพียงจะทำให้คนไทยอกสั่นขวัญแขวนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความรู้สึกของชาวจีน ด้วยเหตุที่มีเพื่อนร่วมชาติถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ ประกอบกับผู้เสียชีวิตยังมีบุตรสาวฝาแฝด ยังสร้างความรู้สึกที่เป็นลบต่อประเทศไทย รวมถึงความปลอดภัยที่ทำให้เป็นปัจจัยต่อการเปลี่ยนจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว

แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้สถานการณ์ต่างๆคลี่คลายโดยเร็วที่สุด และสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวชาวจีนมาเที่ยวในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นปลายปีที่นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางไปต่างประเทศในช่วง Golden Week

โดย น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ระบุถึงกรณีที่ชาวจีนเสียชีวิต และบาดเจ็บจากเหตุกราดยิงว่า ขณะนี้ญาติได้เดินทางมาถึงเมืองไทยแล้ว และทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศไทย และพาไปพบญาติของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอยู่ในขณะนี้ ในส่วนของการเยียวยา ตอนนี้จะมีคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำลังดำเนินการอยู่

ในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบ จะมีกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ช่วยดูแลหลังเกิดเหตุการณ์ในกรณีที่มีผู้ได้รับผลกระทบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนผู้เสียชีวิตชาวเมียนมาร์นั้น มารดาของผู้เสียชีวิตจะเดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 6 ตุลาคม และจะมีการจัดพิธีทางศาสนาที่ประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็จะเป็นเจ้าภาพด้วย

ส่วนการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมานั้น รัฐบาลไทยได้พยายามสร้างความมั่นใจ  โดยการเพิ่มการรักษาความปลอดภัย และในพื้นที่ที่มีผู้คนอยู่มากเช่นห้างสรรพสินค้า ก็จะเพิ่มมาตรการในการตรวจตราอาวุธที่ประตูทางเข้าเพิ่มเติม ซึ่งในรายละเอียดจะต้องมีการหารือกันต่อไป และที่สำคัญตอนนี้ได้กำชับให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่มีสาขาอยู่ในประเทศจีน พยายามสื่อสารว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สั้นๆ และจบไปในครั้งเดียว และไทยมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมขึ้นอย่างไร ส่วนเรื่องของนักท่องเที่ยวจะลดหรือเพิ่ม ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการติดตาม ซึ่งจะทราบผลหลังจากนี้อีก 1 – 2 สัปดาห์

ทางด้าน นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ทางเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้เข้าใจสถานการณ์ และมีการออกแถลงการณ์ไปยังประเทศจีนแล้ว ว่าประเทศไทยมีการจัดการได้เร็วมาก ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว

และที่สำคัญในตอนนี้ก็ได้มีการประชุมคณะกรรมการเพื่อเตรียมความพร้อมในมาตรการป้องกันเหตุ ที่มี 4 มาตรการคือ

1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการเพิ่มกำลังพลเจ้าหน้าที่ในแหล่งชุมชน

2.ประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อขอความร่วมมือมือปิดเว็บไซต์ และช่องยูทูปที่มีการขาย ดัดแปลง และสอนวิธีประกอบอาวุธปืน แบลงค์กัน

3.มีการประสานกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง เพื่อเข้มงวดในการนำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวต้องได้รับใบอนุญาตจากระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เพื่อป้องกันการซื้อได้ง่ายจากเยาวชน

และ 4.กระทรวงดิจิทัลฯได้นำแอปพิลเคชั่นเตือนภัยมาใช้แจ้งเตือนเหตุการณ์ลักษณะที่เกิดเหตุ โดยทั้งหมดถ้ามีความคืบหน้าเพิ่มเติมก็จะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป

 

ขณะที่ สมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย หรือ ATTM ได้ประเมินผลกระทบจากเหตุกราดยิง เบื้องต้นในกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว จะมีผลกระทบทางจิตวิทยากังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในไทย ซึ่งอาจกระทบยอดนักท่องเที่ยวจีนมาไทย ซึ่งอาจหายไปประมาณ 50% ในเดือนตุลาคมนี้ หรือจากคาดไว้ที่จะมาไทย 7 แสนคนในเดือนนี้ อาจเหลือ 3 แสนคน ส่วน 2 เดือนที่เหลือของปีนี้คาดการณ์ว่าจะหายไปเดือนละ 30%เท่ากับ 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยจะหายไปประมาณ 7.7 แสนคน และหากรวมกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นที่มีเชื้อสายจีน ชาวมาเลเซีย หรือเกาหลีใต้ อาจหายไปบางส่วน ดังนั้นมีโอกาสที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยหายไปประมาณ 1 ล้านคน ภายใน 3 เดือนนี้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ตอนเริ่มวีซ่าฟรีให้กับจีน ช่วง 2-3 วันแรก พบว่าชาวจีนมาไทยเพิ่มทันที 60-70% หรือ 1.6-1.7 หมื่นคนต่อวัน พอหลังวันที่ 3 ตุลาคม จำนวนเริ่มลดลงเหลือ 1.3 หมื่นคนต่อวัน

อย่างไรก็ดีในตอนนี้ ผู้ประกอบการทั้งในไทยและในจีนตั้งกลุ่มติดตามสถานการณ์และความเห็นในจีน พบว่าข่าวที่ออกไปสร้างความวิตกกังวล และจากที่ตรวจดูพบว่า 30-40% ระบุว่า เหตุกราดยิงมีผลต่อการตัดสินใจมาเที่ยวไทย ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน แสดงความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยขณะมาเที่ยวไทย บางส่วนยกเหตุการณ์ระเบิดที่ศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ ที่มีการเสียชีวิต 20 ราย ปี 2558 หรือเรือนำเที่ยวไทยล่มกลางทะเล ปี 2561 แต่ละครั้งสร้างความเสียหายต่อการท่องเที่ยวไทยหลายเดือน และสูญเงินจากนักท่องเที่ยวจีนกว่า 6 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสร้างความมั่นใจมากขึ้นว่าเที่ยวเมืองไทยปลอดภัย ไปพร้อมกับออกแคมเปญจูงใจต่างชาติมาเที่ยวไทย เหมือนอย่างแคมเปญเราเที่ยวด้วยกัน เราเคยทำเป็นส่วนลดให้คนไทยเที่ยวไทย 40% แต่กับต่างชาติให้ 20% ก็พอจะดึงดูดคนมาเที่ยวไทยได้มากขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลุ่มผู้ประกอบการเสนอว่าหากรัฐบาลมี นโยบายเพิ่มเติม เช่น เร่งสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจีน พร้อมเยียวยาผู้สูญเสียอย่างเต็มที่ รวมถึงสร้างระบบแจ้งเตือน Emergency Alert ในระดับเขตหรือจังหวัด ขณะเดียวกัน หากเร่งดำเนินนโยบายต่างๆ ตามที่ เสนอ อาทิ เพิ่มฟรีวีซ่าประเทศอื่นๆ ทั้งอินเดีย หรือไต้หวัน, ตั้ง Tourism War Room แก้ข่าวลบ เติมข่าวบวก, เพิ่มโครงการคล้ายเราเที่ยวด้วยกันให้ชาวต่างชาติใช้สิทธิ ส่งเสริมกลุ่ม Digital Nomad และส่งเสริมไทยเที่ยวไทย ออกนโยบายให้ราชการเที่ยวช่วยชาติในวันธรรมดา เป็นต้น มีโอกาสทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้า 30 ล้านคนได้ และเพิ่มการท่องเที่ยวในประเทศเข้ามาทดแทน แต่ทั้งนี้ก็เชื่อเหตุการณ์นี้จะกระทบหนักช่วงเดือนแรก ไม่เกิน 4 เดือนก็ปกติ

สุดท้ายแล้วก็หวังว่าเหตุการณ์นี้เกิดเป็นครั้งสุดท้าย เพราะถ้าหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกกฎหมายที่รัดกุม และมีการบังคับใช้อย่างเข้มข้น ก็ช่วยลดความสูญเสียไปได้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธปืน การรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาในบริเวณที่สาธารณะและนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน เพราะหากเกิดเหตุซ้ำรอยขึ้นอีก ไม่ใช่เพียงความสูญเสียในเรื่องของชีวิต แต่เศรษฐกิจก็จะโดนผลกระทบแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลายเป็นฝันร้ายของภาคการท่องเที่ยวไทยที่หวังจะเติบโตหลังจากที่ผ่านวิกฤติโควิด-19มาได้อย่างยากลำบาก.

Back to top button