GFC ปลื้มกวาดรายได้ ก.ย. “ออลไทม์ไฮ” แตะ 32 ล้าน จับตาดัน Q3 โตเด่น
GFC ปลื้มกวาดรายได้เดือน ก.ย. ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แตะ 32 ล้าน จับตาดันผลงาน Q3/66 โตเด่น ลุ้นทั้งปีนี้ทำนิวไฮ ตอกย้ำผู้นำบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก
นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การให้บริการตรวจเบื้องต้นก่อนให้คำแนะนำหรือรักษา , การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี IUI ,การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี ICSI , การให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน NGS และการให้บริการแช่แข็งไข่และการฝากไข่ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากอัตราผู้เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการเพื่อเข้ารับการรักษา แตะระดับ 32 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เปิดดำเนินการมา
ทั้งนี้ สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลให้รายได้แตะระดับออลไทม์ไฮ เนื่องจากบริษัทฯได้มีการวางแผนเพื่อปรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเพิ่มศักยภาพให้สามารถตอบโจทย์ในการรองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก อาทิ เพิ่มจำนวนแพทย์สำหรับรองรับคนไข้ที่เข้ารับการรักษา จัดเตรียมห้องบริการคนไข้ในช่วงเวลาเข้ามารับบริการ จัดตารางคิวเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้คนไข้ระหว่างเข้ารับบริการ โดยกลยุทธ์ดังกล่าวได้ทำควบคู่การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook , Line, Instagram , TikTok , Twitter และ YouTube รวมถึงมีฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์เพื่อรับคําปรึกษา แนะนําดูแลลูกค้าตลอดขั้นตอนการรักษา เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้ที่มีปัญหาภาวะการมีบุตรยากทั้งในและต่างประเทศ รู้จัก GFC มากขึ้น ซึ่งการปรับกระบวนทัพดังกล่าวนอกจากเป็นการสร้างการรับรู้แล้ว ยังเป็นการขยายฐานคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการเพื่อรับการรักษาเพิ่มสูงขึ้น
จากความสำเร็จดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช และเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยากมากกว่า 23 ปี ทำให้วันนี้ GFC ได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่น ในการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของครอบครัวที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก
ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวสอดรับกับแนวโน้มตลาดในประเทศที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเห็นได้จากดีมานด์ของจำนวนผู้มีบุตรยากที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งคนไทยและต่างชาติ ประกอบกับครอบครัวคนไทยในปัจจุบันเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็จะส่งผลเชิงบวกต่อ GFC ที่สามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเข้ารับการรักษาได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จากการทุบสติถิสูงระดับออลไทม์ไฮในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯคาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งก็จะหนุนให้อัตราการเติบโตของรายได้สำหรับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบจากปี 2565 ซึ่งจากผลการดำเนินดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากบริษัทฯได้เป็นอย่างดี
“ในฐานะ CEO มองว่า การขับเคลื่อนธุรกิจของ GFC เป็นบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง และจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า ตัวเลขการเติบโตประมาณ 30% สำหรับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ถือเป็นตัวเลขสูงหากเทียบจากการเริ่มต้นทำธุรกิจ และเทียบกับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน และมีการเติบโตมาโดยตลอดแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GFC มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นการที่รายได้ในช่วงเดือนกันยายน เฉพาะสาขาพระราม3 เพียงสาขาเดียว สามารถพุ่งสูงออลไทม์ไฮได้ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่จะสะท้อนให้เห็นว่าในช่วงปลายไตรมาส1/2567 หากโครงการสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี แล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก จะสามารถทยอยรับรู้รายได้และสร้าง New S-Curve ให้ GFC เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”