GFC เด้งแรง 10% หลังโชว์รายได้ ก.ย. ออลไทม์ไฮ 32 ล้าน จับตาผลงาน Q3 สวย!
GFC เด้งแรง 10% หลังโชว์รายได้เดือน ก.ย. ออลไทม์ไฮ 32 ล้าน รับลูกค้ารักษาภาวะมีบุตรยากพุ่ง จับตาไตรมาส 3/66 สวย! ลุ้นผลงานปีนี้ทำนิวไฮ โบรกแนะซื้อเป้าสูง 11.30 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ต.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC ณ เวลา 11:04 น. อยู่ที่ระดับ 10.00 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 6.38% สูงสุดที่ระดับ 10.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25.25 ล้านบาท
โดยนายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GFC เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การให้บริการตรวจเบื้องต้นก่อนให้คำแนะนำหรือรักษา, การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี IUI, การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี ICSI, การให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน NGS และการให้บริการแช่แข็งไข่และการฝากไข่ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากอัตราผู้เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภายในเดือน กันยายน 2566 ที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการเพื่อเข้ารับการรักษาแตะระดับ 32 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เปิดดำเนินการมา
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้รายได้ออลไทม์ไฮ เนื่องจากบริษัทได้มีการวางแผนเพื่อปรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเพิ่มศักยภาพให้สามารถตอบโจทย์ในการรองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก อาทิ เพิ่มจำนวนแพทย์สำหรับรองรับคนไข้ที่เข้ารับการรักษา จัดเตรียมห้องบริการคนไข้ในช่วงเวลาเข้ามารับบริการ จัดตารางคิวเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้คนไข้ระหว่างเข้ารับบริการ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวได้ทำควบคู่การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line, Instagram, TikTok, Twitter และ YouTube รวมถึงมีฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์เพื่อรับคําปรึกษา แนะนําดูแลลูกค้าตลอดขั้นตอนการรักษา เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้ที่มีปัญหาภาวะการมีบุตรยากทั้งในและต่างประเทศ รู้จัก GFC มากขึ้น ซึ่งนอกจากเป็นการสร้างการรับรู้แล้ว ยังเป็นการขยายฐานคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการเพื่อรับการรักษาเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ปัจจัยดังกล่าวสอดรับกับแนวโน้มตลาดในประเทศที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเห็นได้จากดีมานด์ของจำนวนผู้มีบุตรยากที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งคนไทยและต่างชาติ ประกอบกับครอบครัวคนไทยในปัจจุบันเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากมากขึ้น ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อ GFC ที่สามารถสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเข้ารับการรักษาได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายกรพัส กล่าวต่อว่า จากการทุบสถิติสูงระดับออลไทม์ไฮในช่วงเดือน กันยายนที่ผ่านมา บริษัทคาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะหนุนให้อัตราการเติบโตของรายได้ 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2565 สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ GFC ไว้ที่ 11.30 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E ปี 2567 ที่ 28 เท่า คาดการณ์ GFC จะมีกำไรสุทธิเติบโตในปี 2566-2568 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 21.3% และคาดอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2566 และเป็น 21% ในปี 2568 ซึ่งจากการขยายสาขาใหม่ “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี จะเป็นการรองรับการให้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะผลักดันการเติบโตของ GFC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ให้ราคาเหมาะสม GFC อยู่ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากของประเทศไทย ทั้งจากคนไข้ต่างชาติในแง่ Medical Tourism ประกอบกับอัตราค่าบริการการรักษาที่ถูกกว่าประเทศในภูมิภาคราว 40% และถูกกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วราว 68% นอกจากนี้จำนวนประชากรไทยที่เกิดใหม่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาภาวะมีบุตรยาก จึงเป็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจรักษาภาวะมีบุตรยากของประเทศไทยจากคนไข้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยประเมินรายได้จากการดำเนินงานของ GFC ในช่วงปี 2566-2567 ที่ระดับ 312 ล้านบาท และ 479 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 32% ต่อปี ซึ่งปัจจัยสนับสนุน คือ 1.คลินิกสาขาเดิมพระราม 3 เติบโตตามแนวโน้มจำนวนคนไข้ที่เข้ามารับบริการเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์โควิด 19 ที่คลี่คลายลง ซึ่งคาดจะเติบโตเฉลี่ยราว 10% ต่อปี และ 2.การขยายคลินิกสาขาใหม่ 2 แห่ง คือ คลินิกสาขาสุวรรณภูมิ พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี ส่วนกำไรสุทธิปี 2566 จะอยู่ที่ 49 ล้านบาท เติบโต 25% จากปี 2565 และปี 2567 คาดกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท เติบโต 54% จากปี 2566 หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 12% ต่อปี
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ GFC อยู่ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น โดย GFC มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันจากจุดเด่นศักยภาพให้บริการครบวงจร มีทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และมีชื่อเสียงในตลาด รวมถึงมีโอกาสเติบโตสูงจากการเปิด 2 สาขาใหม่ และขยายลูกค้าต่างชาติ จะเป็น S-Curve ใหม่ของการเติบโตระยะยาว และธุรกิจหลักของ GFC อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตขาขึ้น