TOP บวก 3% เก็งกำไร Q3 “นิวไฮ” ทะลุหมื่นล้าน อัพเป้าใหม่ 77 บาท พ่วงยีลด์ 7.8%
TOP บวก 3% จับตาประกาศงบ 8 พ.ย.นี้ โชว์กำไรไตรมาส 3/66 ทำจุดสูงสุดของปี 10,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89,053% จากปีก่อน หลังค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นแรง 81% บวกด้วยกำไรสต๊อกน้ำมันกระฉูด โบรกฯพร้อมใจปรับประมาณการทั้งปีเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท ขยับเป้าหมายสูงสุด 77 บาท ดิวิเดนด์ยีลด์ 7.8%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 ต.ค. 66) ราคาหุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 10:57 น. อยู่ที่ระดับ 51.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 3.00% สูงสุดที่ระดับ 51.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 50.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 224.78 ล้านบาท
โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 8 พ.ย. 2566 คาดว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP วาระสำคัญที่จะพิจารณาคือการอนุมัติผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 ซึ่งถูกคาดหมายว่าบริษัทจะทำกำไรสุทธิสูงสุดรอบปีนี้เกินกว่า 1 หมื่นล้านบาท
รายงานข้อมูล Refinitiv Consensus ของหุ้น TOP ประมาณการรายได้ไตรมาส 3/2566 ที่ 123,050.03 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,755.33 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมปี 2566 ที่ 461,711.06 ล้านบาท และกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 15,707.71 ล้านบาท ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 62.01 บาท จาก 18 โบรกเกอร์
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับประมาณการกำไร TOP ปีนี้เพิ่ม 4% เป็น 2.16 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ TOP ประเมินว่าค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันรั่วจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1 พันล้านบาท โดยคาดว่าบริษัทจะรายงานกำไร Q3/2566 ที่ 10,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89,053% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือ YoY และเพิ่มขึ้น 834% จากไตรมาสก่อนหน้านี้ หรือ QoQ
โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากค่าการกลั่นตลาด หรือ Market GRM สูงขึ้น และมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันมากขึ้น คาดว่า Market GRM ของ TOP จะเพิ่มขึ้น 81% YoY และเพิ่มขึ้น 170% QoQ เป็น 12.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากต้นทุนราคาส่วนเพิ่มของน้ำมันดิบที่กลั่น เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบอ้างอิง หรือ Crude premium ลดลง 83% YoY และ 37% QoQ เหลือ 1.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่ Spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 14-87% QoQ เป็น 18.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทั้งนี้ตลาดโรงกลั่นได้แรงหนุนจากอุปทานในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เนื่องจากโรงกลั่นหลายแห่งในโลกปิดซ่อมบำรุงนอกแผน และสต๊อกน้ำมันกลุ่มน้ำมันกลั่นขั้นกลาง หรือ middle distillate อยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทกำไรจากสต๊อกน้ำมันสูงถึง 9 พันล้านบาท ใน Q3/2566 จากที่เคยบันทึกผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9 พันล้านบาท ใน Q3/2565 และ 1.9 พันล้านบาท ใน Q2/2566 หลังจากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงขึ้นจาก 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือนมิถุนายน เป็น 93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราการกลั่นน้ำมันดิบของ TOP จะลดลง 3% QoQ เนื่องจากมีการปิดซ่อมทุ่นผูกเรือกลางทะเล หรือ Single Buoy Mooring 2 (SBM-2) นอกแผนจากกรณีน้ำมันรั่ว เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังคาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงก้อนใหญ่ถึง 4.5 พันล้านบาท ลดลงจากที่มีกำไรจากการป้องกันความเสี่ยง 262 ล้านบาท ใน Q2/2566 เนื่องจากบริษัทได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงประมาน 30% ของปริมาณยอดขายน้ำมัน เครื่องบินและน้ำมันดีเซลทั้งหมดใน Q3/2566
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรออนุมัติซ่อม SBM-2 โดยบริษัทจะใช้ SBM-1 แทนไปก่อนในช่วงที่มีการปิดซ่อมบำรุง ดังนั้นจึงคาดว่าต้นทุนการดำเนินงานโรงกลั่นของ TOP จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเคจีไอได้รวมผลกระทบของประมาณการกำไรของบริษัทในช่วง 4 เดือนสุดท้ายไว้แล้ว ทั้งนี้หากสั่งให้ซ่อม floating pipeline ทั้งหมด หรือเฉพาะส่วนที่รั่วเท่านั้น ซึ่งการซ่อมเฉพาะส่วนที่รั่วน่าจะใช้เวลาเพียงประมาณ 2-3 เดือน เพราะบริษัทมีอะไหล่พร้อมอยู่แล้ว
โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP โดยประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 68 บาท มี discount 5% จากกรณีน้ำมันรั่วตามเกณฑ์ ESG เชื่อว่าราคาหุ้นจะได้แรงหนุนจากคาดผลประกอบการที่ดีขึ้นใน Q3/2566 และอุปสงค์น้ำมันดีเซลที่สูงตามฤดูกาลในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่คาดว่าจะสูงถึง 7.8% ในปี 2566 และ 6.3% ในปี 2567
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP ที่ราคาเป้าหมาย 64 บาท อิง P/BV ที่ 0.84 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/BV 5 ปีย้อนหลัง ประเมินว่า TOP จะรายงานกำไร Q3/2566 แข็งแกร่งที่ 1 หมื่นล้านบาท เทียบกับ 12 ล้านบาท ใน Q3/2565 และ 1.1 พันล้านบาทใน Q2/2566 โดยได้แรงหนุนจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่แข็งแกร่งจากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ Gasoline ที่สูงขึ้นในฤดูกาลขับรถของสหรัฐอเมริกา และเชื่อว่ากำไรของ TOP ได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้ว นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะรับรู้กำไรจากสต๊อก (stock gain) ก้อนใหญ่ในไตรมาสนี้ ในขณะเดียวกันประเมินว่าบริษัทจะรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำมันรั่ว
นายศรชัย พิทยาพฤกษ์ นักวิเคราะห์ด้านหุ้นพลังงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด แนะนำ “ซื้อ” TOP ราคาเป้าหมาย 77 บาท โดยมอง Positive ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ Q3/2566 ที่ 10,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 819% จากไตรมาสก่อน และดีกว่าที่เคยประเมิน ค่าการกลั่นสูงกว่าคาด โดยกำไรฟื้นสูง YoY และ QoQ หนุนจากธุรกิจโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น 79% YoY และเพิ่มขึ้น 167% QoQ จาก Crude premium ที่ลดลง และ Supply ตึงตัวจากมีปิดซ่อมนอกแผนของโรงกลั่นบางส่วนในสหรัฐฯ และเอเชีย รวมถึง มี Stock gain ก้อนใหญ่ ส่วนกำไรที่ลดลง QoQ ใน Q4/2566 ไม่ได้น่ากังวล เพราะค่าการกลั่นและกำไรยังอยู่ในระดับที่ดี
ทั้งนี้ ปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2566 ขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน ตามการปรับเพิ่มค่าการกลั่น และ Stock gain พร้อมกับปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 77 บาท/หุ้น จากเดิม 75 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” มองผ่านช่วงกดดันมากสุดของเหตุน้ำมันรั่วไปแล้ว ระยะสั้นมีแรงหนุนจากกำไร Q3/2566 ทำจุดสูงสุดของปี ระยะยาวมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวโดดเด่น