STEC เซ็นงานรถไฟทางคู่ 9.83 พันลบ. ชู Backlog เพิ่มเป็น 5 หมื่นลบ.
STEC เซ็นงานรถไฟทางคู่เส้นทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย สัญญาที่ 1 9.8 พันลบ. ดัน Backlog เพิ่มเป็น 5 หมื่นลบ. คาดปี 59 มีงานเข้ามาเพิ่มไม่น้อยกว่า 3 หมื่นลบ.
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้เซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เส้นทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย สัญญาที่ 1 มูลค่า 9,825.81 ล้านบาทในวันนี้จะทำให้งานในมือ (backlog) เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในปีนี้งานใหม่พลาดเป้าไปประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยได้งานใหม่เข้ามาเพียง 20,000 ล้านบาทจากเป้าหมายที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากความล่าช้าของโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ
“งานพลาดเป้า 10,000 ล้าน คือ new order ปี 58 ซึ่งตอนปลายปี 57 เราประมาณการว่าปี 58 ด้วยนโยบายของรัฐจะมีงานออกมามากเราก็ตั้งเป้าจะหางานใหม่เข้ามาปี 58 ประมาณ 30,000 ล้าน และตอนนี้สิ้นปีแล้วเราพบว่าเราได้งานใหม่เข้ามาประมาณ 20,000 ล้าน นั่นก็คือน้อยกว่าเป้าไป 10,000 ล้าน เหตุก็เพราะความล่าช้าของงานภาครัฐที่ออกมาช้ากว่าประมาณการ”กรรมการผู้จัดการ STEC กล่าว
สำหรับปี 59 คาดว่าจะมีงานเข้ามาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท โครงการที่อยู่ในความสนใจคือ รถไฟทางคู่, มอเตอร์เวย์ของกรมทางหลวง, รถไฟฟ้าทั้งสายสีส้ม สายสีเหลือง สายสีชมพู, รถไฟฟ้าของการรถไฟ ,โรงไฟฟ้าของทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและเอกชน ทั้งนี้ รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่เป็นรูปแบบให้เอกชนลงทุนเต็มรูปแบบ (PPP) ก็สนใจและคุยกับพันธมิตรอยู่แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ส่วนโครงการรถไฟไทย-จีน และไทย-ญี่ปุ่น คงต้องรอดูเงื่อนไขการประมูลก่อนว่าเป็นอย่างไร แต่คาดว่าบริษัทน่าจะเข้าประมูลด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องร่วมมือกับพันธมิตร
ด้านขีดความสามารถของบริษัทรองรับงานภาครัฐนั้น บริษัทเตรียมความพร้อมมาได้ 2-3 ปีแล้วตั้งแต่การประกาศพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในรัฐบาลก่อน มีการลงทุนสร้างโรงผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป มีการขออนุญาตใบทำงานแรงงานต่างด้าวที่เตรียมไว้อย่างพอเพียง มีการตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานและผลิตแรงงานที่มีทักษะไว้แล้วหลายรุ่น มีการพัฒนาฝึกอบรมพนักงานมาโดยตลอด รวมทั้งมีฐานทุนที่แข็งแกร่งในสภาพ net cash
ส่วนงานก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ บริษัทมีการรับรู้ผลประกอบการที่มีค่าใช้จ่ายเกินประมานการไว้ในปี 58แล้ว ถ้าไม่มีความล่าช้าหรือปัจจัยอื่นๆภายนอกมากระทบอีกก็ไม่น่าจะมีอะไร และถ้ามีด้วยสาเหตุที่ไม่ใช่ความผิดหรือความล่าช้าของเรา เราก็ต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากทางรัฐสภาต่อไป