BGRIM ควง GPSC วิ่งคึก 3 วันติด! จับตางบ Q3 หรู ต้นทุนก๊าซลด ดันกำไรพุ่ง

BGRIM ควง GPSC วิ่งคึก 3 วันติด! บวกอีก 4% หลังราคาลงลึก จับตาโชว์งบไตรมาส 3/66 หรู ต้นทุนก๊าซลดดันกำไรพุ่ง โบรกฯประเมิน “บีกริม”Q3/66 กำไรเติบโต 2,432% จากต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง อัตรากำไรส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมสูง ราคาเป้าหมาย 37.45 บาท ขณะที่ “จีพีเอสซี” ไม่น้อยหน้า กำไรสูง 1,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 397% รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าโกลว์เฟส 5 กลับมาเดินเครื่องปกติ ราคา Consensus ที่ 62.86 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(3 พ.ย.66)  2 หุ้นโรงไฟฟ้าบวกคึก นำโดยบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้น ณ เวลา 10.37 น. อยู่ที่ 24.20 บาท บวก 1.10 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.76% มูลค่าซื้อขาย 364.69 ล้านบาท ส่วนบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราคาหุ้น ณ เวลา 10.34 น. อยู่ที่ 42.25 บาท บวก 1.75 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.32% มูลค่าซื้อขาย 419.74 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น BGRIM และ GPSC ปรับตัวขึ้น 3 วันติด นับตั้งวันที่ 1 พ.ย.2566 คาดรับแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลงกว่า 30-40% ตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากเซนติเมนต์เชิงลบจากนโยบายปรับลดค่าไฟฟ้าของรัฐบาล และผันผวนตามภาวะตลาดจากปัจจัยสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 3/2566 จะฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นเมื่อเทียบปีก่อน ทั้ง BGRIM และGPSC พร้อมกันนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการคิดราคาก๊าซธรรมชาติ Pool Gas ให้ไม่เกิน 305 บาทต่อล้านบีทียู ถือเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่จะทำให้ต้นทุนไม่ผันผวนเหมือนดั่งช่วงที่ผ่านมา

รายงานข้อมูล Refinitiv consensus รายได้ BGRIM ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 13,799 ล้านบาท กำไรสุทธิ 437.67 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 37.45 บาท จาก 13 โบรกเกอร์ ขณะที่รายได้ GPSC ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 24,215.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,647.36 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 62.86 บาท จาก 12 โบรกเกอร์

 ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด มองว่า แนวโน้มไตรมาส 3/2566 ของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM คาดกำไรปกติอยู่ที่ 643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,432% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2565 ที่อยู่ระดับต่ำกว่าปกติ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น 

ขณะที่ ไตรมาส 4/2566 คาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันปีก่อนจากฐานที่ต่ำไตรมาส 4/2565 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 สาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ IU ที่ลดลง (25% ของรายได้) และค่า Ft ลดลงเป็น 0.20 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เทียบกับ 0.68 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2566

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ในปี 2567 คาดว่า BGRIM จะยังต้องเผชิญกับความท้าทายในปี 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากข้อกังวลหลัก 3 ประเด็น ได้แก่ นโยบายค่า Ft ที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะอยู่ที่ 0.20 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2567 ประกอบกับต้นทุนก๊าซฯ ที่คาดยังไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนกว่าบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP จะเร่งการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณในไตรมาส 2/2567

 สภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ย/อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ระดับสูงเป็นระยะเวลายาวนานขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อทั้งต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทและอัตราคิดลดที่ใช้ในการประเมินมูลค่าบริษัท และความเป็นไปได้ในการขายหุ้นบางส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซฯ ออกไป เพื่อนำเงินมาลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม อาจส่งผลให้กำไรในระยะสั้นของบริษัทลดลงได้

อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ลดราคาเป้าหมายอิงด้วยวิธี SOTP จาก 50 บาท เป็น 31.50 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร โดยปี 2566 ปรับประมาณการกำไรลดลง 18% เหลือ 1.96 พันล้านบาท, ปี 2567 ปรับลดลง 31% เหลือ 1,910 ล้านบาท และปี 2568 ปรับลดลง 32% เหลือ 2,810 ล้านบาท

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จํากัด (มหาชน) คาดว่าไตรมาส 3/2566 ของ BGRIM จะมีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท ลดลงจาก 678 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 และ 399 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2566 เนื่องจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และผลกระทบจากนโยบายลดค่าไฟฟ้าของภาครัฐ 3.99 บาทต่อหน่วย แต่จะถูกชดเชยบางส่วนจากต้นทุนก๊าซฯ ลดลงเหลือ 305 บาทต่อล้านบีทียู ลดลง 24% จากไตรมาสก่อน และยอดขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน มาจากปริมาณจากผู้ใช้อุตสาหกรรม (IU) ที่เพิ่มขึ้น 19 เมกะวัตต์

โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ลดราคาเป้าหมายจาก 42 บาท เหลือ 36 บาท เพื่อสะท้อนถึงการปรับลดกำไร 17.5-25.3% ในปี 2566-2568 ทั้งนี้เชื่อว่าราคาหุ้น BGRIM ปัจจุบันมีราคาถูกมากที่สุดแล้ว เมื่อมองไปข้างหน้าคาดว่าจะรับผลบวกจากค่าไฟฟ้าที่มีโอกาสสูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนก๊าซฯ ที่ลดลง เมื่อเทียบกับปีก่อนจะช่วยหนุนต้นทุนของ BGRIM ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ที่จะทยอยเข้ามา จะช่วยสร้างการเติบโตของรายได้

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2566 ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC คาดกำไรไตรมาส 3/2566 จะโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยอยู่ที่ 1,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 397% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 330 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 430% จากไตรมาสก่อน ซึ่งอยู่ที่ 309 ล้านบาท และคาดกำไร 9 เดือนของปีนี้ไว้ที่ 3,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% จากงวดเดียวกันปีนี้

ทั้งนี้ กำไรที่เติบโตขึ้นอย่างมากในไตรมาส 3/2566 มาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง ทั้งจากราคาก๊าซฯ คาดลดลง 25% จากไตรมาสก่อน เหลือ 334 บาทต่อล้านบีทียู และราคาถ่านหินคาดปรับตัวลง 30% จากไตรมาสก่อน จาก 312 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 218 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งช่วยชดเชยรายได้ที่ลดลงตามค่า Ft ที่ลดลง 0.45 บาทต่อหน่วย จากไตรมาสก่อนที่ระดับ 1.12 บาทต่อหน่วย

ขณะเดียวกัน ยังกลับมารับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าโกลว์เฟส 5 ที่กลับมาเดินเครื่องตามปกติหลังจากมีปิดซ่อมช่วงไตรมาส 2/2566 และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรีที่เข้าสู่ช่วง High Season คาดจะมีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 400-500 ล้านบาท ทำให้โดยรวมคาดว่ากำไรไตรมาส 3/2566 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 สำหรับทิศทางไตรมาส 4/2566 คาดกำไรจะอ่อนตัวลงตาม Seasonal รวมถึงค่า Ft ที่ปรับตัวลงตามนโยบายรัฐ ทั้งนี้เนื่องจากประเด็นความไม่แน่นอนของค่า Ft ที่จะถูกควบคุมจากภาครัฐ รวมถึงปัจจุบันราคาพลังงานยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทางฝ่ายจึงมีการปรับราคาพื้นฐานลง เพื่อสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าว จากเดิม 75 บาท เหลือ 63 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายปัจจุบันมองว่าราคาปรับตัวลงไปมาก และมี upside พอสมควร จึงมองว่าเป็นโอกาสสะสมหุ้นสำหรับลงทุนระยะยาว เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตในมือเติบโตระยะยาว ดังนั้นยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ GPSC

 ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่า GPSC จะมีกําไรสุทธิไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 1.52 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 358% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 390% จากไตรมาสก่อน จากผลการดําเนินงานแข็งแกร่งขึ้น และไม่มีการบันทึกรายการปรับมูลค่าถ่านหินเหมือนกับในไตรมาส 2/2566 ทั้งนี้กำไรที่พุ่งขึ้น เป็นเพราะการกลับมาเปิดโครงการ GE เฟส 5 (เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท) ผลการดําเนินงาน SPP แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งช่วง peak ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ นอกจากนี้ SG&A ลดลง และยังมีเงินปันผลจากบริษัท ราชบุรี เพาเวอร์ จำกัด (RPCL)

ดังนั้น ยังคงคำแนะนํา “ถือ” และปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 50 บาท (เดิม 61 บาท) เชื่อว่าผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 3/2566 จะช่วยหนุนราคาหุ้นได้แค่ชั่วคราว และกําไรไตรมาส 4/2566 น่าจะลดลงอย่างมาก เพราะปัจจัยฤดูกาล ขณะที่แนวโน้มปี 2567 ยังไม่แน่นอน จากทั้ง margin ของ SPP และการขยายกําลังการผลิตของ Avaada ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และนโยบายของภาครัฐ อย่างไรก็ตามหากมีสัญญาณบวกจากนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับค่า Ft และแนวโน้มราคาพลังงานจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการ re-rate หุ้น GPSC ระยะต่อไป

Back to top button