MOSHI บวกต่อ 5% ลุ้น Q4 โตต่อ รับไฮซีซั่น-ขยายสาขาเพิ่ม
MOSHI บวกต่อ 5% ลุ้นไตรมาส 4/66 โตต่อ รับไฮซีซั่น-ยอดขายสินค้า-ขยายสาขาเพิ่มหนุน ฟากโบรกแนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 พ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI ณ เวลา 11:36 น. อยู่ที่ระดับ 54.50 บาท บวก 2.50 บาท หรือ 4.81% สูงสุดที่ระดับ 54.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 52.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50.32ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า หลังจากการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2566 ของบริษัท MOSHI มีกำไรอยู่ที่ 81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 78 ล้านาท จาก 1) การขยายสาขาเดิม (SSSG) เพิ่มขึ้น 12% เนื่องจากสาขาในเมืองท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวได้อีก และการเพิ่มกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงและแบรนด์ Garlic ที่ขายสินค้าเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ ประกอบกับรายได้จากสาขาใหม่ ทำให้มีรายได้รวมอยู่ที่ 585 ล้านบาท เติบโต 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย ณ สิ้นไตรมาสมีสาขาทั้งหมด 119 สาขา เป็นร้านค้าปลีก 115 สาขา และร้านค้าส่ง 4 สาขา 2) GPM เฉลี่ยรวมอยู่ที่ 53.1% จากสัดส่วนยอดขายสินค้าที่คาดว่าจะทำกำไรได้สูง (high margin) อย่างกลุ่มเครื่องสำอาง (cosmetic), ของเล่น (toys), อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง (pet accessories) รวมถึงสินค้าของร้าน Garlic กลุ่มเครื่องหอมและสินค้าไลฟ์สไตล์ ประกอบกับต้นทุนลดจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทั้งนี้ประมาณการกำไรสุทธิของปี 2566 อยู่ที่ 390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากไตรมาสก่อนหน้า และในปี 2567 อยู่ที่ 501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรก คิดเป็น 64%
ขณะที่ทิศทางผลดำเนินงานไตรมาส 4/2566 ประเมินรายได้จะขยายตัวโดดเด่นจากการเข้าสู่ช่วง high season ในช่วงเทศกาล ทำให้คาดการณ์ว่าจะเห็นทั้งรายได้และกำไรโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าได้ และยังมองแนวโน้ม GPM ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่องจากการ sourcing สินค้าจากต่างประเทศได้มากขึ้น และการผลักดันยอดขายสินค้ากลุ่มที่มี margin สูง รวมถึงบริษัทมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” MOSHI ที่ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 60.00 บาท โดยยังคงมองการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากสาขาเดิม (SSSG) โดยเฉพาะสาขาในเมืองท่องเที่ยว รายได้จากการขยายสาขาและ GPM ที่จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดยราคาเป้าหมายคิดเป็น PER ที่ 36 เท่า (หรือเท่ากับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง)