“บ.บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์” เตรียมขาย IPO ไม่เกิน 1.54 พันล้านหุ้น
“บ.บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์” หรือ บสก. ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ-การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย ยื่นไฟลิ่งแรกกับ ก.ล.ต. เตรียมขาย IPO ไม่เกิน 1,535 ล้านหุ้น เข้า SET โดยมี บล.กสิกรไทย และ บล.ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ บสก. ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) version แรก เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2558 เนื่องจากบริษัทจะเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 1,535 ล้านหุ้น
ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 280 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทจำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น โดยมี บล.กสิกรไทย และ บล.ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต, เพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีบริษัทฯมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ทั้งนี้ บสก.ประกอบธุรกิจ 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ (1) กลุ่มธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และ (2) กลุ่มธุรกิจการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย ณ วันที่ 30 ก.ย.58 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 76,681.8 ล้านบาท หนี้สินรวม 42,480.8 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 34,201.0 ล้านบาท โดย 9 เดือนปี 58 บริษัทฯมีรายได้จากการดำเนินงาน 9,529.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,408.7 ล้านบาท
โดยปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 16,225 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 3,245.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 13,675.0 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 2,735.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนในครั้งนี้แล้ว บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วอย่างน้อย 15,075 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญชำระแล้วจำนวน 3,015.0 ล้านหุ้น
สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ กองทุนฟื้นฟูฯ ถือหุ้น 2,734,999,990 หุ้น หรือคิดเป็น 100% หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะคงเหลือถือหุ้น 1,479,999,990 หุ้นหรือคิดเป็น 45.6%
ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย