ANI วิ่งแรง 7% ลุ้นรายได้ Q4 โตเด่น รับไฮซีซั่นท่องเที่ยว
ANI บวกกว่า 7% โบรกมองไตรมาส 4 รายได้โตโดดเด่น หลังเข้าสู่เทศกาลท่องเที่ยว แถมธุรกิจแข่งขันไม่สูง มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 ธ.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ณ เวลา 10:08 น. อยู่ที่ระดับ 6.55 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 7.38% สูงสุดที่ระดับ 6.55 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 125.13 ล้านบาท
บล.ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าเบื้องต้น ANI ด้วย PER เฉลี่ยของผู้ประกอบธุรกิจใกล้เคียง เช่น Freight Forwarder ใน SET (III, WICE, SINO) มองว่ามูลค่าเหมาะสม ณ ราคา IPO มีอัพไซด์น่าสนใจ
โดยมองว่าธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (Cargo General Sales Agent: Cargo GSA) เป็นธุรกิจที่การแข่งขันไม่สูง เนื่องจากผู้ประกอบการมีจำนวนไม่มาก ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจไม่สูง แต่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและได้รับความไว้วางใจจากสายการบินในการเป็นตัวแทนขายระวางสินค้า โดยบริษัทมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมทั้งฮ่องกงและจีนที่มีประสบการณ์และได้รับความไว้วางใจจากสายการบินชั้นนำมาโดยตลอด ประกอบกับการให้บริการของบริษัทอยู่ในประเทศที่มีการขนส่งสินค้าทางอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
นอกจากนี้บริษัทแม่อย่าง III เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรด้านการขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ จึงช่วยส่งเสริมกันและกันในการประกอบธุรกิจได้ ซึ่งวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อจ่ายชำระค่าหุ้นภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจจึงมีความเหมาะสม เนื่องจากเป็นการรวมบริษัทย่อยทั้งหมดให้อยู่ภายใต้ ANI
รายได้หลักของบริษัทมาจากการขายระวางสินค้า ซึ่งผันแปรตามค่าระวางขนส่งสินค้าทางอากาศ มองว่าในระยะสั้นรายได้จะลดลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณการขนส่งและอัตราค่าระวางลดต่ำลงเมื่อเทียบกับช่วงโควิด
ขณะที่ไตรมาส 4/66 คาดว่ารายได้จะปรับตัวสูงขึ้นตามปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล และสัญญาการให้บริการ GSA กับสายการบินขนาดใหญ่ที่เริ่มให้บริการในเดือน ก.ย. 66 มีการรับรู้เต็มไตรมาส ส่วนในระยะยาว คาดว่ารายได้จะเติบโตตามการขยายตัวของการค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเติบโตของ E-commerce และภาคการผลิต
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทผันแปรตามค่าระวางขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงจากฐานที่สูงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่บริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไม่ให้ผันแปรตามตามค่าระวางได้ ส่งผลต่อไปยังอัตรากำไรสุทธิด้วยเช่นกัน จึงคาดว่าในระยะสั้นบริษัทจะยังคงความสามารถใรการรักษาอัตรากำไร ทำให้อัตรากำไรในปีนี้สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากบริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าในการให้บริการได้เพิ่มเติมและยังคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไร คาดว่าอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามต่อ ได้แก่ แผนการสร้างเครือข่ายให้เป็นผู้นำธุรกิจ GSA ในภูมิภาคเอเชีย โดยขยายไปยังประเทศที่มีการเติบโตและมีความต้องการการขนส่งสินค้าทางอากาศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ และประเทศอินเดีย รวมทั้งขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ทวีปยุโรป และ ทวีปออสเตรเลีย
ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ 1) การพึ่งพิงรายได้จากการให้บริการจากสายการบินบางราย 2) ความผันผวนของค่าระวางขนส่งสินค้าทางอากาศ 3) การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและนโยบายของประเทศที่บริษัทดำเนินการอยู่ 4) ค่าความนิยมเป็นสินทรัพย์หลักของบริษัท