มาตรการ “2 Dos and 1 Don’t” กดหุ้น “ไฟแนนซ์” ร่วง! SAWAD นำทีม 3%
ธปท. เตรียมออกเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ใหม่จะกำหนด มาตรการ “2 Dos and 1 Don’t” ฟากหุ้น “ไฟแนนซ์” แพนิกกอดคอร่วง นำโดย SAWAD ราคาร่วง 3%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 ธ.ค.66) ราคาหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ทั้งเช่าซื้อและบัตรเครดิตปรับตัวลดลง นำโดยบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ณ เวลา 11:44 น. อยู่ที่ระดับ 41.00 บาท ลบ 1.25 บาท หรือลดลง 2.96% ราคาสูงสุด 42.25 บาท ราคาต่ำสุด 40.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 379.72 ล้านบาท
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ณ เวลา 11:46 น. อยู่ที่ระดับ 44.50 บาท ลบ 1.00 บาท หรือลดลง 2.20% ราคาสูงสุด 45.50 บาท ราคาต่ำสุด 44.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 89.55 ล้านบาท
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ณ เวลา 11:46 น. อยู่ที่ระดับ 22.60 บาท ลบ 0.20 บาท หรือลดลง 0.88% ราคาสูงสุด 22.90 บาท ราคาต่ำสุด 22.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 149.57 ล้านบาท
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ณ เวลา 11:75น. อยู่ที่ระดับ 43.75 บาท ลบ 0.75 บาท หรือลดลง 1.69% ราคาสูงสุด 44.755 บาท ราคาต่ำสุด 43.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 53.90 ล้านบาท
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการควบคุมหนี้เพิ่มเติมภายใต้ “การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending)” มาตรการล่าสุดนี้เรียกว่า “2 Dos and 1 Don’t” และกำหนดให้สถาบันการเงินดังกล่าว เสนอแผนการ
ปรับโครงสร้างหนี้สองครั้ง : ครั้งแรกก่อนที่เงินกู้จะกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) และอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เงินกู้กลายเป็น NPL นอกจากนี้ธนาคารต่างๆ จะถูกจำกัดไม่ให้ตัดเงินกู้ดังกล่าวออกก่อนที่จะเสนอแผนการปรับโครงสร้างทั้งสองรายการดังกล่าว มาตรการนี้คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายนปีหน้า
นอกเหนือจากโครงการ “หนี้เรือรัง” สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผู้กู้ชำระขั้นต่ำระยะเวลาหนึ่ง ภายใต้โปรแกรมนี้ ธนาคารจะต้องเสนอให้แปลงสินเชื่อเป็นสินเชื่อผ่อนชำระโดยมีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ต่ำกว่า ส่งผลให้มูลค่าที่คาดหวังของสินเชื่อลดลง (เงินต้น +ดอกเบี้ย) ไทยรัฐยังรายงานด้วยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังหารือเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มเติมภายใต้ที่เดียวกัน รวมถึงการลดการจ่ายดอกเบี้ยที่แท้จริง (เช่น ให้การผ่อนชำระให้ความสำคัญกับเงินต้นมากกว่าการจ่ายดอกเบี้ย)
บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุ ประการแรกการตัดหนี้เสียที่ยืดเยื้อออกไปน่าจะชะลอการฟื้นตัวของหนี้เสีย แม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม ณ จุดนี้ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามาตรการดังกล่าวอยู่ภายใต้หัวข้อ “responsible lending ” ซึ่งมีแนวโน้มมุ่งเป้าสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม และมองว่าโดยปกติแล้วธนาคารจะไม่เสนอโครงการการปรับโครงสร้างสำหรับสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่ออุปโภคบริโภค (เช่น บัตรเครดิตและสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน) เมื่อผู้กู้สินเชื่อรถยนต์ผิดนัด ธนาคารจะพยายามยึดรถคืน (ในลักษณะนี้เป็นกระบวนการในการชดใช้หนี้เสีย) เมื่อผู้กู้ยืมเงินกู้ยืมที่ไม่มีหลักประกันเกิดการผิดนัด ธนาคารจะตัดเงินกู้หลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่งหากธนาคารถูกบังคับให้เสนอแผนการปรับโครงสร้างหนี้ก่อน จะทำให้การตัดหนี้เสียจะยืดเยื้อออกไป ส่งผลให้การชำระหนี้เสียเกิดความล่าช้ำ
ประการที่สอง การปรับโครงสร้างใหม่ไม่น่าจะช่วยลด credit cost ได้ ซึ่งมาตรการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนใหญ่มีกำหนดสิ้นสุดปีนี้ รวมถึงการปรับโปรแกรมโครงสร้างสีน้ำเงิน/สีส้ม
อย่างไรก็ตามปีหน้ามาตรฐานการบัญชีจะกลับคืนสู่รูปแบบปกติของ TFRS9 ดังนั้น สินทรัพย์ภายใต้โครงการปรับโครงสร้างใหม่จึงควรได้รับกำรพิจารณาว่า “เสื่อมโทรมลงอย่ำงมีนัยสำคัญ” และธนาคารจะต้องกัน ECL ไว้เพิ่มเติม (เกือบ 100%) สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับปีนี้ที่ธนาคารสามารถใช้มาตรฐานสินเชื่อที่ง่ายกว่า (เช่น การรักษาสินเชื่อดังกล่าวไว้ที่ระยะที่ 1 หากพวกเขาเสนอการขาดทุนด้านเครดิตแก่ผู้กู้ยืม เช่น โดยการลดอัตราดอกเบี้ย/ยกเว้นดอกเบี้ยค้างรับ/เสนอให้ปรับลด)
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างการออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) โดยมีการปรับปรุงทั้งในส่วนของเกณฑ์การให้สินเชื่อที่จะต้องเหมาะสมกับภาระการเงินของลูกหนี้ และมีเงินเหลือเพียงพอที่จะดำรงชีพได้อย่างมีคุณภาพ และปรับปรุงในส่วนของการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยลูกหนี้ได้มากขึ้น
โดยหลักเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ใหม่จะกำหนด “2 ต้อง และ 1 ห้าม” โดยหากพบสินเชื่อของลูกหนี้เริ่มมีปัญหาจะต้องเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้โดยเร็ว โดยต้องที่ 1 คือ ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย 1 ครั้ง และต้องที่ 2 คือ ต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เมื่อเป็นหนี้เสียอีก 1 ครั้ง เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสในการแก้หนี้ต่อเนื่อง ขณะที่ 1 ห้าม คือ ห้ามขายหนี้เสียของลูกหนี้ออกไปบริหารที่อื่น โดยยังไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้เป็นการภายในก่อน