ATP30 บวกแรง 8% มั่นใจ Q4/66 โตต่อ ดันผลงานทั้งปีเข้าเป้า 10%

ATP30 บวกแรง 8% มั่นใจไตรมาส 4/66 โตต่อ ดันผลงานทั้งปีเข้าเป้า 10% พร้อมกางแผนพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการเดินรถ หวังต้นปี 67 คว้าใบรับรอง TGO พ่วงขยายพอร์ตรถไฟฟ้าเพิ่ม 20 คันในปีนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ม.ค.67) ราคาหุ้นบริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ณ เวลา 10:08 น. อยู่ที่ระดับ 1.30บาท บวก 0.10 บาท หรือ 8.33% สูงสุดที่ระดับ1.33 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.23 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 32.94 ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮรอบ 8 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 1.30 บาท เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66

โดยก่อนหน้านี้นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30  ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยว่า สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 เติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากลูกค้าใหม่เพิ่มจำนวน 4 ราย รวมจำนวนรถกว่า 49 คัน นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าสนใจใช้บริการรถบัสไฟฟ้าเพิ่มอีกจำนวน 10 คัน เตรียมให้บริการช่วงต้นปีหน้า ตอกย้ำผลประกอบการปี 66 โตตามเป้าหมาย 10%

ด้านผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้รวม 169.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 166.48 ล้านบาท จำนวน 2.87 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.72% และมีกำไรสุทธิ 9.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.53 ล้านบาท จำนวน 3.54 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 64.01%

ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 497.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 478.36 ล้านบาท จำนวน 18.91 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.95% และมีกำไรสุทธิ 19.31 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 29.79 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทให้บริการรถรับส่งพนักงานเพิ่มขึ้นจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 2566 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสภาพรถเพื่อให้บริการลูกค้าที่ใช้บริการครบกำหนดสัญญายังคงใช้รถเดิมต่อไปในระยะยาวจำนวน 44 คัน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว โดยหากดูเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน ถือว่าเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน

อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินรถ พร้อมวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเตรียมพร้อมขอรับใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ต้นปี 2567 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการยืนเอกสารตรวจสอบ

ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้พัฒนาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยี Robotic Process Automation (RPA) หุ่นยนต์ช่วยควบคุมติดตามการเดินรถ จัดการเส้นทางการเดินรถให้เกิดความคุ้มค่า ตรวจเช็คและซ่อมบำรุงรักษาสภาพรถให้อยู่ในมาตรฐาน เพื่อควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำที่สุด

ขณะเดียวกัน บริษัทวางแผนเพิ่มโอกาสการขยายฐานลูกค้า ด้วยการให้บริการที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ เตรียมขยายสัดส่วนของรถไฟฟ้า (EV) มากขึ้น ซึ่งจากการให้บริการรถไฟฟ้า 5 คัน ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่าการให้บริการด้วยรถไฟฟ้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 65% เมื่อเปรียบเทียบกับรถเครื่องยนต์สันดาป

นอกจากนี้ บริษัทมีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟ แผงโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในการเดินรถไฟฟ้าได้ประมาณ 30% และจะขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น ให้สอดรับกับปริมาณรถไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ปัจจุบันมีรถไฟฟ้าแล้ว 6 คัน และอยู่ระหว่างสั่งซื้อเพิ่มอีก 5-6 คัน พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มรถไฟฟ้า 20 คันในปี 2567

สำหรับการขยายฐานลูกค้าดังกล่าว มีปัจจัยสนับสนุนจากที่ประชุมสมาชิกรัฐสภายุโรป (MEPs) บรรลุข้อตกลงมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกค้าภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการส่งออก ตระหนักถึงการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น

ส่วนรถโดยสารที่ยังใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนหลัก บริษัททยอยปรับสัดส่วนลดการใช้น้ำมันดีเซล/เบนซิน โดยทำบันทึกข้อตกลงกับ บริษัท ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ใช้บริการบัตรเติมน้ำมัน (OR Fleet Card) ในโครงการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพื่อการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ทดแทนน้ำมันดีเซล/เบนซินชนิดพื้นฐาน และจะแบ่งผลประโยชน์คาร์บอนเครดิต 50% หลังจากได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตกับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER)

นอกจากนี้ บริษัทยังเข้าร่วมเป็น สมาชิกเครือข่ายอมตะคาร์บอนนิวทรัล (Amata Carbon Neutral Network) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน และสนับสนุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

Back to top button