MEGA ดีดบวก 4% ส่งซิก Q4/66 แจ่ม รับผลิตภัณฑ์ขยายตัว-วางเป้าปีนี้ปั๊มรายได้โต 10%
MEGA ดีดบวก 4% ส่งซิกไตรมาส 4/66 โต รับผลิตภัณฑ์ขยายตัว พร้อมวางเป้าปี 67 ปั๊มรายได้โต 5-10% เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 12 รายการ มุ่งเน้นเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกาใต้สะฮารา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(18 ม.ค.67) ราคาหุ้นบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ณ เวลา 11:54 น. อยู่ที่ระดับ 42.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.27% ราคาสูงสุด 43.25 บาท ราคาต่ำสุด 41.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 107.70 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care ที่พัฒนา ผลิต ทำการตลาด และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท และธุรกิจการจัดจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า Maxxcare ทำการตลาด การขาย และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาคงขยายตัวต่อเนื่องในทุกประเทศที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ เชื่อว่าจะช่วยให้ผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าหมาย หรือรายได้จะเติบโตตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ (low single-digit) ถึงตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง (mid single digit) จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 15,760 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขยายธุรกิจในทวิปแอฟริกา ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำตลาด บวกกับการวางกลยุทธ์ร่วมกัน การเป็นหุ้นส่วนร่วมค้า และการเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโตในภูมิภาคหลัก พร้อมผลักดันให้ผลการดำเนินงานเติบโตเป็นสองเท่า หรือจะมีกำไรประมาณ 2,400-2,500 ล้านบาท ภายในปี 2568 จากปี 2562 ที่มีกำไรประมาณ 1,130 ล้านบาท หลังจากปี 2565 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของรายได้จากการขายของ Mega We Care และ Maxxcare ทั้งผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ และทยอยออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปี 2565-2566 ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปกว่า 30 รายการ
สำหรับในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับสูง (High Single Digit) หรือ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2566 และเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ต่ำกว่า 12 รายการ โดยในแต่ละประเทศที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันยังมีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่รอขึ้นทะเบียน และอยู่ระหว่างการพัฒนามากกว่า 157 รายการ ที่จะมีส่วนช่วยผลักดันยอดขายในอนาคต และมองว่าความต้องการของผู้บริโภคมีมากขึ้นหลังจากการเกิดโควิด-19 ซึ่งจะมุ่งเน้นเจาะตลาด เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกาใต้สะฮารา เป็นต้น อีกทั้งนับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ประเมินว่าการสั่งซื้อ (Order) จะเริ่มมีมากขึ้นในหลายประเทศ เนื่องจากการสต๊อกสินค้าช่วงโควิด-19 เริ่มลดลง สะท้อนจากยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทมีแผนใช้งบลงทุนกว่า 590 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในประเทศไทย มีแผนขยายกำลังการผลิต มูลค่า 40 ล้านบาท และลงทุนด้านความยั่งยืนเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มูลค่า 40 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือ 510 ล้านบาท เป็นการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียจะก่อสร้างโรงงานผลิตยาในรูปแบบใหม่ คลังสินค้า และพัฒนาโรงงานผลิตยา ซึ่งระหว่างการลงทุนได้มีการดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์ และมีการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ให้พร้อมต่อการรองรับโรงงานใหม่ เชื่อว่าภายในปี 2568 จะเริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับมา ส่วนการลงทุนสร้างโรงงานในประเทศเวียดนามยังไม่มีการอัปเดต หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป