โบรกอัพเป้า MINT ใหม่ 44 บาท ชี้อัตราเข้าพัก “โรงแรมยุโรป-ไทย” Q1 พุ่ง
โบรกเชียร์ “ซื้อ” MINT อัพเป้าใหม่ 44 บาท ลุ้น Q4/66 โตเด่น รับยอดห้องพัก “โรงแรมยุโรป-ไทย” พุ่ง พร้อมคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/66 โตเด่นแตะ 2.4 พันล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (26 ม.ค. 67) ถึงแนวโน้มผลประกอบการและทิศทางธุรกิจของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT คาดการณ์ว่ากำไรไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าจะเป็นช่วง Low season ของโรงแรมในยุโรป แต่บริษัทฯยังมีปัจจัยหนุนสำคัญมาจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ในโรงแรมไทยคาดว่าจะปรับตัวขึ้น 14% 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และยุโรปจะปรับตัวขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน
นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจอาหารยังน่าจะเติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน โดยได้ปัจจัยผลักดันจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เป็นบวกของภัตตาคารในจีนและการขยายสาขาของภัตตาคารในไทยจากกำไรไตรมาส 4/66 ที่คาดการณ์ว่าจะออกมาดี
อย่างไรก็ตามจากผลดังกล่าวข้างต้นคาดการณ์ว่ากำไรปกติปี 66 อาจอยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19
ขณะเดียวกันอ้างอิงข้อมูล “บลูมเบิร์ก” กับประธานของ MINT (Bill Heinecke) โรงแรมในไทยมีอัตรานักท่องเที่ยวเข้าพักอยู่ที่ 75% ในช่วงเดือน ธ.ค. 66 ในขณะที่ตัวเลขการจองล่วงหน้ากระโดดเพิ่ม 20-30% ในเดือน ม.ค.-ก.พ. 67 เพราะฉะนั้นฝ่ายนักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมในไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 75-80% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 69% และในไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 71% ตามลำดับ
ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยซัพพอร์ตผลประกอบการในช่วง Low season ของโรงแรมในยุโรปพร้อมโอกาสที่ MINT จะรายงานกำไรในไตรมาส 1/67 เมื่อเทียบกับที่เคยขาดทุนเฉียด 1 พันล้านบาทในไตรมาส 1/66)
ขณะที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในโรงแรม (RevPAR) รวมจะเติบโต 6% ในปี 67 นำโดยโรงแรมในไทย เพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่คาดการณ์แบบ conservative ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องที่ให้บริการของโรงแรมในยุโรปจะโต 4% โดยเห็นว่าโรงแรมในยุโรปจะมี Upside จากการฟื้นตัวของนักเดินทางระยะไกลงาน UEFA Euro ปี 67 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนมิ.ย.- ก.ค. 67 และงาน 2024 Olympics ที่ปารีสเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนก.ค.- ส.ค. 67 ทั้งนี้ห้องของโรงแรมในเยอรมันและปารีสคิดเป็น 26% และ 2% ของจำนวนห้องรวมของโรงแรมที่ NHH เป็นเจ้าของ
อีกทั้งในภาพรวมมองว่ากำไรปกติจะโต 13% เป็น 8.0 พันล้านบาท พร้อมโอกาสที่จะมี Upside จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงเนื่องจาก MINT วางแผนชำระหนี้คืนล่วงหน้าในช่วงปี 67
ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 66-68 ขึ้น 9% เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรไตรมาส 4/66 และแนวโน้มที่อยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ได้ราคาเป้าหมายปี 67 ใหม่ที่ 44 บาท คาดการณ์กระแสเงินสดอิสระ(DCF) ราคาหุ้นของ MINT ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดอยู่ 17% และปรับตัวได้ดีน้อยกว่าผู้ประกอบกิจการโรงแรมระดับโลก และมีราคาหุ้นสูงกว่าระดับก่อนโควิด 26%
ขณะที่ปัจจุบัน MINT เป็นหุ้นเด่นของในกลุ่มโรงแรมเนื่องจากหุ้นมีการซื้อขายโดยมีระดับการประเมินมูลค่าที่ต่ำเพียง 21 เท่าของค่าปี 67 ค่า P/E เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 26 เท่า ค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรมไทยที่ 46 เท่า และค่าเฉลี่ยของโรงแรมระดับโลกที่ 22 เท่า