MINT ดีดบวก 3% รับอานิสงส์ฟรีวีซ่าไทย-จีน โบรกเชียร์ซื้ออัพเป้าใหม่ 44 บาท
MINT ดีดบวก 3% รับอานิสงส์ฟรีวีซ่าไทย-จีน พ่วงเก็งไตรมาส 1/66 อัตราเข้าพักโรงแรมยุโรป-ไทยปรับตัวขึ้น โบรกชูหุ้นท็อปพิก “กลุ่มท่องเที่ยว” แนะซื้ออัพเป้าใหม่ 44 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ม.ค.67) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ณ เวลา 16:04 น. อยู่ที่ระดับ 30.25 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 3.42% สูงสุดที่ระดับ 30.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 29.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 755.17 ล้านบาท ราคาหุ้นบวกแรงในรอบ 3 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 30.50 บาท เมื่อวันที่ 12 ต.ค.66
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(29 ม.ค.67) ว่า กลุ่มท่องเที่ยว รับผลบวก รมว. ต่างประเทศไทยจีนร่วมลงนามฟรีวีซ่าระหว่างกันมีผล 1 มี.ค.67: เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รมว.ต่างประเทศของไทยและจีนร่วมลงนามข้อตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหรือให้ฟรีวีซ่า ระหว่างกัน ระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน หรือรวมกันในช่วง 6 เดือน ต้องไม่เกิน 90 วัน เป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวทั้งระบบ โดยมี Top pick ในเชิงกลยุทธ์ คือ ERW MINT AAV และ AOT
บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (26 ม.ค. 67) ถึงแนวโน้มผลประกอบการและทิศทางธุรกิจของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT คาดการณ์ว่ากำไรไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าจะเป็นช่วง Low season ของโรงแรมในยุโรป แต่บริษัทฯยังมีปัจจัยหนุนสำคัญมาจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ในโรงแรมไทยคาดว่าจะปรับตัวขึ้น 14% 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และยุโรปจะปรับตัวขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน
นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจอาหารยังน่าจะเติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน โดยได้ปัจจัยผลักดันจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เป็นบวกของภัตตาคารในจีนและการขยายสาขาของภัตตาคารในไทยจากกำไรไตรมาส 4/66 ที่คาดการณ์ว่าจะออกมาดี
อย่างไรก็ตามจากผลดังกล่าวข้างต้นคาดการณ์ว่ากำไรปกติปี 66 อาจอยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19
ขณะเดียวกันอ้างอิงข้อมูล “บลูมเบิร์ก” กับประธานของ MINT (Bill Heinecke) โรงแรมในไทยมีอัตรานักท่องเที่ยวเข้าพักอยู่ที่ 75% ในช่วงเดือน ธ.ค. 66 ในขณะที่ตัวเลขการจองล่วงหน้ากระโดดเพิ่ม 20-30% ในเดือน ม.ค.-ก.พ. 67 เพราะฉะนั้นฝ่ายนักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมในไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 75-80% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 69% และในไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 71% ตามลำดับ
ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยซัพพอร์ตผลประกอบการในช่วง Low season ของโรงแรมในยุโรปพร้อมโอกาสที่ MINT จะรายงานกำไรในไตรมาส 1/67 เมื่อเทียบกับที่เคยขาดทุนเฉียด 1 พันล้านบาทในไตรมาส 1/66)
ขณะที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในโรงแรม (RevPAR) รวมจะเติบโต 6% ในปี 67 นำโดยโรงแรมในไทย เพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่คาดการณ์แบบ conservative ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องที่ให้บริการของโรงแรมในยุโรปจะโต 4% โดยเห็นว่าโรงแรมในยุโรปจะมี Upside จากการฟื้นตัวของนักเดินทางระยะไกลงาน UEFA Euro ปี 67 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนมิ.ย.- ก.ค. 67 และงาน 2024 Olympics ที่ปารีสเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนก.ค.- ส.ค. 67 ทั้งนี้ห้องของโรงแรมในเยอรมันและปารีสคิดเป็น 26% และ 2% ของจำนวนห้องรวมของโรงแรมที่ NHH เป็นเจ้าของ
อีกทั้งในภาพรวมมองว่ากำไรปกติจะโต 13% เป็น 8.0 พันล้านบาท พร้อมโอกาสที่จะมี Upside จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงเนื่องจาก MINT วางแผนชำระหนี้คืนล่วงหน้าในช่วงปี 67
ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 66-68 ขึ้น 9% เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรไตรมาส 4/66 และแนวโน้มที่อยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ได้ราคาเป้าหมายปี 67 ใหม่ที่ 44 บาท คาดการณ์กระแสเงินสดอิสระ(DCF) ราคาหุ้นของ MINT ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดอยู่ 17% และปรับตัวได้ดีน้อยกว่าผู้ประกอบกิจการโรงแรมระดับโลก และมีราคาหุ้นสูงกว่าระดับก่อนโควิด 26%
ขณะที่ปัจจุบัน MINT เป็นหุ้นเด่นของในกลุ่มโรงแรมเนื่องจากหุ้นมีการซื้อขายโดยมีระดับการประเมินมูลค่าที่ต่ำเพียง 21 เท่าของค่าปี 67 ค่า P/E เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 26 เท่า ค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรมไทยที่ 46 เท่า และค่าเฉลี่ยของโรงแรมระดับโลกที่ 22 เท่า