JMT ดีดแรง 4% ลุ้นโชว์กำไร Q4/66 แตะ 534 ล้าน โบรกแนะ “ซื้อ” เป้าใหม่ 25 บาท
JMT เด้ง 4% โบรกชี้จังหวะเข้าซื้อหลังราคาลงลึก คาดไตรมาส 4/66 กำไร 534 ล้านบาท โต 9% เผยธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะเติบโตต่อเนื่องในปี 67 ส่วนธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้าได้สะท้อนไปในราคาแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 ก.พ.67) ราคาหุ้น บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ณ เวลา 10:04 น. อยู่ที่ระดับ 21.20 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 4.43% สูงสุดที่ระดับ 21.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 20.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 102.17 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดการณ์กำไรสุทธิของ JMT ไตรมาส 4/66 ที่ 534 ล้านบาท (ก่อนหน้านี้คาดที่ 570 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ 15% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา คาดการณ์จำนวนการเก็บเงินสดในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 8% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา ได้แรงหนุนจากการบริหารหนี้ที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน คาดว่าหนี้จะเติบโต 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา ในไตรมาส 4/66 คาดรายได้อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 66.9% เพิ่มขึ้น 1.98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 3.14% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (ต้นทุนบริการที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล) ด้านส่วนแบ่งรายได้จาก JK AMC อยู่ที่ 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ทรงตัวเมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา)
นอกจากนี้ คาดธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของ JMT จะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงปี 67 หนุนโดยการบริหารหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดย JMT ซื้อหนี้ใหม่จำนวน 6.3 พันล้านบาท ใน 9 เดือนแรกของปี 66 (เพิ่มขึ้น 278% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยบริษัทเริ่มเก็บเงินสดจากหนี้ใหม่ในไตรมาส 3/66 มูลค่าหนี้เสียที่ตราไว้ของบริษัทอยู่ที่ 4 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือน ก.ย. 66 เพิ่มขึ้น 53% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในปี 67 เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งธนาคารได้กำหนดเกณฑ์การคัดกรองที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับลูกค้า ส่วนลูกค้าหนี้ที่มีหลักประกันของ JMT พบว่าการไฟแนนซ์กับธนาคารเป็นเรื่องยากมาก ส่งผลให้การชำระหนี้ล่าช้า (แต่ยังคงชำระเงินให้กับ JMT ทุกเดือน)
ทั้งนี้ ได้ปรับลดกำไรสุทธิปี 66 ลง 3% มาอยู่ที่ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปรับลดประมาณการการเก็บเงินสดลง 7% และปรับเพิ่มอัตราการตั้งสำรองขึ้นจาก 1.2% มาอยู่ที่ 1.6% (โดยปรับลดคาดการณ์การฟื้นตัวของธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกัน) นอกจากนี้ยังปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ลง 7% มาอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปยังไตรมาส 1/67 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารหนี้ที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล นอกจากนี้คาดว่าหนี้จะอยู่ที่ 4.32 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือน มี.ค. 67 เพิ่มขึ้น 53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา
สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 58% นับตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. 66 ปัจจุบัน PER ปี 2567 ของ JMT อยู่ที่ 13 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีอยู่ 1.6 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และคาดว่า EPS ปี 67 ถึง 68 อยู่ที่ 15% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 0.9 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับอัตราส่วนเฉลี่ยสำหรับกลุ่มการเงินรายย่อย ด้านราคาเป้าหมายใหม่แนวสิ้นปี 67 อยู่ที่ 25 บาท