JMT วิ่ง 9% รับกำไรปี 66 ออลไทม์ไฮ 2 พันล้าน โบรกเคาะเป้า 40 บาท
JMT วิ่งต่อ 9% รับกำไรปี 66 ทำออลไทม์ไฮต่อเนื่องแตะ 2 พันล้านบาท โต 15% ด้านโบรกยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ก.พ.67) ราคาหุ้น บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ณ เวลา 10:02 น. อยู่ที่ระดับ 24.80 บาท บวก 2.10 บาท หรือ 9.25% สูงสุดที่ระดับ 24.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 23.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,007.51 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา ตอบรับข่าว นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT กล่าวว่า ผลการดำเนินงานงวดประจำปี 2566 เป็นไปตามเป้าหมาย กำไรทำ All Time High ต่อเนื่องอยู่ที่ 2,011 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 15% มีรายได้รวม 5,087 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หน้า 15% มาจากรายได้ที่ทำสัญญากับลูกค้า รายได้ดอกเบี้ย-กำไรจากเงินให้สินเชื่อการซื้อลูกหนี้ และรายได้รายรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้น
โดยบริษัทฯ มียอดจัดเก็บกระแสเงินสด (Cash Collection) รวมส่วนของบริษัทและของบริษัทร่วมทุน JK AMC ในปี 2566 เท่ากับ 8,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่รัดกุม นำเทคโนโลยี และแอปพลิเคชันเข้ามาสนับสนุน และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำธุรกิจ AMC มีหนี้ในพอร์ตที่ซื้อมาบริหารในช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังสามารถดำเนินการจัดเก็บและสร้างผลตอบแทนให้กับ JMT ได้จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี สำหรับปี 2566 JMT ทำสถิติเป็นปีที่ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารมากที่สุด โดยใช้เงินลงทุนในการซื้อหนี้รวมทั้งปีที่ 7,311 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังมองปี 2567 เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจบริหารหนี้ตั้งเป้างบลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพอย่างระมัดระวัง โดยจะคัดเลือกลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพที่มีผลตอบแทนสูงที่สุด
ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (13 ก.พ.67) ว่า JMT ประกาศกําไรไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 540 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 16% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าราว 9% ส่งผลให้กําไรปี 2566 อยู่ที่ 2,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยยอดจัดเก็บที่ปรับตัวดีขึ้น 14% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 1,518 ล้านบาท (เดิมคาดที่ 1,360 ล้านบาท) โดยหลักเป็นผลจากปัจจัยฤดูกาล ทําให้ยอดจัดเก็บทั้งปี 2566 ไม่รวม JK AMC อยู่ที่ 5,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ส่วนแบ่งกําไรจาก JK AMC อยู่ที่ 161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 157% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (เดิมคาดที่ 111 ล้านบาท) ทั้งสองปัจจัยจึงทำใหกำไรไตรมาส 4/66 ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า ปัจจัยอื่นๆ ออกมาค่อนข้างใกล้เคียงคาด
โดยนอกจากยอดจัดเก็บและส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC ที่ปรับตัวดีขึ้นแล้ว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังลดลง 11% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากมีการกลับค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ตามฤดูกาล ซึ่งเป็นปัจจัยที่คาดไว้ก่อนหน้า โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 40 บาท