TKN บวก 3% หลังโชว์กำไร 743 ล้านบาท สูงสุดรอบ 6 ปี เคาะปันผล 0.15 บาท

TKN โชว์ความสำเร็จปี 66 ทำกำไรสุทธิ 743 ล้านบาท เติบโต 70% สูงสุดในรอบ 6 ปี จ่ายเงินปันผล 0.15 บาทต่อหุ้น เร่งสานต่อกลยุทธ์ “3 GO” เดินหน้าส่งเสริมการตลาด ตั้งเป้าปี 67 เติบโต 15%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ก.พ.67) บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ณ เวลา 10:22 น. อยู่ที่ระดับ 10.90 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.83% สูงสุดที่ระดับ 11 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 68.56 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น TKN ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังรายงานผลประกอบการงวดปี 66 เติบโตสูงสุดในรอบ 6 ปี

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 66 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 5,323.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% และมีกำไรสุทธิ 743.0 ล้านบาท เติบโต 70.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการเติบโตของยอดขายทำได้สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และกำไรสุทธิที่ทำได้สูงสุดในรอบ 6 ปี

โดยมีอัตราการทำกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เพิ่มขึ้นเป็น 14.0% สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของเถ้าแก่น้อยที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในทุกมิติ ภายใต้กลยุทธ์ 3GO ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจสาหร่ายในทุกช่องทางทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนรายได้ในประเทศราว 37% และต่างประเทศราว 63%

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกในอัตราหุ้นละ 0.15 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 มี.ค.67 และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 พ.ค.67 ทั้งนี้ หากรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วจำนวน 2 งวด ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท ที่จ่ายเมื่อวันที่ 6 ก.ย.66 และในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ที่จ่ายเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ถือหุ้น TKN ได้รับเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 66 รวมทั้งสิ้น 0.46 บาทต่อหุ้น

ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15% โดยบริษัทฯ สานต่อกลยุทธ์ “3GO” อย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจ ประกอบด้วย “GO Firm” ปรับองค์กรให้กระชับ ลดต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่าย (Productivity) อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว “GO Broad” ขยายฐานกลุ่มธุรกิจให้กว้างขึ้นและสร้างคุณค่า รวมถึงยกระดับตราสินค้า (Branding) มุ่งเน้นส่งเสริมการตลาดสร้างการรับรู้ให้ตราสินค้าในตลาดหลักที่สำคัญอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทย จีน อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย และ ‘GO Global’ ขยายตลาดต่างประเทศให้มีคุณภาพและมีความยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้กลยุทธ์การบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมดูแล ชุมชนสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

 

Back to top button