JAS ราคาแรลลี่ยาว 10 วันพุ่ง 30% เก็งซื้อหุ้นคืน หลังเงินสดล้น 9 พันล้านบาท
JAS ราคาแรลลี่ยาว 10 วันพุ่ง 30% เก็งซื้อหุ้นคืน ขณะที่โบรกฯ คาดว่าจะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% โดยปัจจุบันกำไรสะสมในงบเฉพาะกิจการมีจำนวน 271 ล้านบาท และงบการเงินรวม 1,900 ล้านบาท ขณะที่สภาพคล่องมีกว่า 9,000 ล้านบาท เพียงพอซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 เม.ย. 67) ราคาหุ้น บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ณ เวลา 11:36 น. อยู่ที่ระดับ 2.54 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 5.83% สูงสุดที่ระดับ 2.56 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 185.21 ล้านบาท ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 10 วันทำการนับตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. 67 ที่ปิด 1.94 บาท โดยพบว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 29.89%
สำหรับราคาหุ้น JAS ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 10 วันทำการส่วนหนึ่งเป็นการตอบรับประเด็นข่าว จากก่อนหน้าแหล่งข่าววงการเงิน เคยเปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่าคณะกรรมการ JAS เตรียมจัดประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการซื้อหุ้น (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงิน เนื่องจากมองว่าราคาหุ้น JAS ที่ซื้อขายอยู่ในกระดานปัจจุบันต่ำกว่าพื้นฐานมากเกินไป จึงเตรียมเงินไว้สำหรับดำเนินการทำ treasury stock ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้ถือหุ้นมากกว่า และถือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติงดนำกำไรสุทธิของบริษัทมาจ่ายปันผลประจำปี 2566
โดยผลดีจากการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว ในแง่ผู้ถือหุ้น JAS จะได้ประโยชน์จากกำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ถูกซื้อคืนจะไม่ถูกนำมาคำนวณกำไรต่อหุ้น มีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นในระดับที่ P/E เท่าเดิม
ในแง่บริษัท ถือเป็นการช่วยเพิ่มอุปสงค์ของหุ้น และอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น เป็นการลดจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายในตลาด ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นสูงขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินในการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินบริษัทให้เกิดประสิทธิผล
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน หากผู้บริหารของบริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานและเห็นว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของกิจการอย่างมีนัยสำคัญ และการซื้อหุ้นคืนและขายกลับช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนของผู้ถือหุ้น โดยบันทึกผลต่างของราคาเป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้นซื้อคืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของส่วนผู้ถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา JAS มีการซื้อหุ้นมาแล้ว 6 ครั้ง เริ่มจากปี 2552 จำนวน 1,397,727,200 หุ้น หรือ 14.82% มูลค่ารวม 615 ล้านบาท, ปี 2553 จำนวน 739,949,138 หุ้น หรือ 10% มูลค่ารวม 300 ล้านบาท, ปี 2554 จำนวน 724,425,137 หุ้น หรือ 10% มูลค่ารวม 300 ล้านบาท, ปี 2555 จำนวน 106,857,000 หุ้น หรือ 1.47% มูลค่ารวม 298 ล้านบาท, ปี 2557 จำนวน 713.73 ล้านหุ้น หรือ 10% มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท, ปี 2559 จำนวน 1,200 ล้านหุ้น หรือ 16.82% มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท โดยทั้ง 6 ครั้งไม่มีการขายหุ้นที่ซื้อคืนออกมา แต่ใช้วิธีการลดทุนด้วยการตัดหุ้นที่ซื้อคืนออกไปทั้งหมดแทน
ด้านนายพิสุทธิ์ งามวิจิตรวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากแผนการซื้อหุ้นคืนของ JAS เกิดขึ้นจริง ถือว่าเป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากจะทำให้กำไรต่อหุ้นสูงขึ้น จากจำนวนหุ้นที่ลดลง ซึ่งถือว่าเป็นการจ่ายปันผลทางอ้อมวิธีหนึ่ง
“ผลดีจากการซื้อหุ้นคืนจะทำให้จำนวนหุ้นในกระดานน้อยลง กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาหุ้น JAS เพิ่มขึ้นด้วย” นายพิสุทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะซื้อหุ้น JAS คืนไม่เกิน 10% โดยจะใช้เงินเพียง 1,600 ล้านบาท (คิดจากราคาหุ้นปัจจุบัน) เท่านั้น โดยปัจจุบันกำไรสะสมในงบเฉพาะกิจการมีจำนวน 271 ล้านบาท และงบการเงินรวม 1,900 ล้านบาท ขณะที่สภาพคล่องมีกว่า 9,000 ล้านบาท จึงเพียงพอที่จะซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้
นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นรายย่อยหรือรายใหญ่ มีโอกาสที่จะขายหุ้น JAS คืนให้กับบริษัทได้ จากปัจจุบันบริษัทมีหุ้นทั้งหมด 8,500 ล้านหุ้น คาดว่าจะซื้อหุ้นคืนจำนวน 850 ล้านหุ้น หรือ 10% ของหุ้นทั้งหมด
สำหรับข้อบังคับการซื้อหุ้นคืน หากซื้อหุ้นคืนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10% ของทุนชำระแล้ว มอบอำนาจให้คณะกรรมการมีอำนาจตัดสินใจในการซื้อหุ้นคืนได้ แต่หากซื้อหุ้นคืนมากกว่า 10% ของทุนชำระแล้วต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นและต้องซื้อหุ้นคืนภายใน 1 ปี