PTTGC ร่วง 3% เล็งบันทึกด้อยค่า “พีทีที อาซาฮี” 9.3 พันล้าน โบรกชี้กระทบกำไรหด 29%
PTTGC ร่วง 3% เซ่นบันทึกด้อยค่าบริษัท PTT Asahi กว่า 9.3 พันล้านบาท ภายในไตรมาส 2-3/67 โบรกประเมินทุก ๆ การด้อยค่าฯ 10% ของมูลค่าทางบัญชี หวั่นกระทบกำไร 1,400-1,600 ล้านบาท หรือลดลง 25-29% ของกำไรสุทธิปี 2567 ให้ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน (28 พ.ค.67) ว่า บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ณ เวลา 11:16 น. อยู่ที่ระดับ 36.25 บาท ลบ 1.25 บาท หรือ 3.33% สูงสุดที่ระดับ 37.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 36.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 461.95 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยสาเหตุหลักจาก นายปวีณ เจียสกุล ผู้จัดการส่วนงานนักลงทุนสัมพันธ์ PTTGC เปิดเผยว่า กรณีการด้อยค่าของบริษัท PTT Asahi ที่บริษัทถือหุ้น 50% ร่วมกับทางพันธมิตรญี่ปุ่น คือ บริษัท อาซาฮี คาเซอิ คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นสัดส่วน 50% โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางพันธมิตรญี่ปุ่นได้ทบทวนพิจารณาเงินลงทุนต่าง ๆ พบว่าเรื่องของอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังมีความท้าทายในระยะสั้น จึงตัดสินใจบันทึกด้อยค่าในบริษัท PTT Asahi ยอดรวม เป็นขาดทุน 4 หมื่นล้านเยน หรือประมาณ 9,326 ล้านบาท
ทั้งนี้ ส่วนของ PTTGC ได้พูดคุยพันธมิตรตลอด แต่เนื่องจากบริษัทปิดบัญชีงวดไตรมาส 1/2567 ไปก่อนแล้ว ดังนั้นมองว่าช่วงไตรมาส 2-3/2567 จะมีการทบทวนธุรกิจ และเงินลงทุนว่าจำเป็นต้องบันทึกด้อยค่าหรือไม่ รวมทั้งจะสอบถามไปยังผู้สอบบัญชีด้วย ทั้งนี้บริษัทจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป
ส่วนในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทมีการซื้อหุ้นกู้เพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดรวมอยู่ที่ 750 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทสามารถซื้อคืนได้ในราคาต่ำกว่าราคาพาร์ที่ออกไป จึงได้ส่วนลดประมาณ 10% หรือคิดเป็น 75 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.7 พันล้านบาท) ดังนั้นส่วนต่างดังกล่าว ทาง PTTGC จะรับรู้เป็นกำไรพิเศษเข้ามาช่วงไตรมาส 2/2567
สำหรับงบลงทุน 5 ปี (ปี 2567-2571) บริษัทตั้งไว้ที่ 814 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น เงินลงทุนสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 268 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2568 อยู่ที่ 194 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2569 อยู่ที่ 138 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2570 อยู่ที่ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2571 อยู่ที่ 103 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงระมัดระวังการลงทุนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า และยังไม่มีแผนลงทุนโครงการใหญ่ ๆ เพิ่มเติม
ด้าน นางสาวพรสุข ลิ้มสถิตย์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กร และนักลงทุนสัมพันธ์ PTTGC กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบและปิโตรเคมีในปีนี้ พบว่าความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยาน แต่ยังคงคาดการณ์ภาพรวมค่าการกลั่น (GRM) เฉลี่ยปีนี้จะอ่อนตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุมาจากซัพพลายใหม่และโรงกลั่นใหม่ที่จะเดินเครื่องในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ทำให้ GRM ปรับลดลง
ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี พบว่ากลุ่มอะโรเมติกส์ในส่วนของพาราไซลีน (PX) มีซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดน้อยเพียง 1% ของกำลังการผลิตทั่วโลก ส่งผลให้สเปรด PX สูงขึ้น ขณะที่เบนซีน (BZ) พบว่าสเปรดงวดไตรมาส 2/2567 ยังอยู่ในระดับที่ดี แม้ตลาดฟีนอลยังไม่ฟื้นมากนัก ส่วนผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และเม็ดพลาสติก PE และ PP พบว่าซัพพลาย PE ยังไม่เยอะ เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ PP ยังคงมีซัพพลายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงมีแรงกดดันราคาในปีนี้ อย่างไรก็ตามกลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (specialty) พบว่าในงวดไตรมาส 2/2567 ยอดขาย allnex ปรับตัวดีขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผู้บริหาร PTTGC คาดสามารถรับรู้กำไรก่อนภาษีฯ จากการซื้อคืนหุ้นกู้ (749 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในไตรมาส 2/2567 ประมาณ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ (บริหารเงินสดในมือเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย) ขณะที่บริษัทมีแนวโน้มพิจารณาปรับมูลค่าเงินลงทุนใน PTT Asahi (PTTGC ถือ 50%) และ Vencorex (PTTGC ถือ 100%) หลังผลประกอบการได้รับผลกระทบจากการแข่งขันสูง
ดังนั้น ในประเด็นของผลลบระยะสั้นของโอกาสมีผลกระทบค่าใช้จ่ายด้อยค่าฯ จากการทบทวนสินทรัพย์ของบริษัทเข้ามาฉุดกำไรในไตรมาส 2-3/2567 คาดมูลค่าทางบัญชี (BV) เบื้องต้นของสินทรัพย์ที่มีโอกาสด้อยค่าฯ อย่าง PTT Asahi ประมาณ 10,000 ล้านบาท และ Vencorex ประมาณ 8,000–10,000 ล้านบาท ทุก ๆ การด้อยค่าฯ 10% ของ BV จะกระทบกำไรประมาณ 1,400-1,600 ล้านบาท หรือลดลง 25-29% ของกำไรสุทธิปี 2567 หรือประมาณ 0.31-0.35 บาทต่อหุ้น ซึ่งมองว่ากลบขาบวกของ EBITDA ที่อาจเพิ่มขึ้น 2,800–3,000 ล้านบาทต่อปี (5-7% ของ EBITDA ปี 2568-2569) จากไม่ต้องรับรู้ขาดทุนของกิจการข้างต้น
โดยคงคำแนะนำ Trading Buy หุ้น PTTGC ที่ราคาเป้าหมาย 39.50 บาทต่อหุ้น ขณะที่วานนี้ (27 พ.ค. 2567) ราคาหุ้นปิดที่ 37.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยมูลค่าซื้อขาย 215 ล้านบาท