LALIN ตั้งเป้าปี 59 ยอดขาย 2.8 พันลบ.รายได้ 2.4 พันลบ.เปิด 8 โครงการใหม่
LALIN ตั้งเป้าปี 59 ยอดขาย 2.8 พันลบ.รายได้ 2.4 พันลบ.เปิด 8 โครงการใหม่
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 2,800 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ที่ 2,400 ล้านบาท หรือเติบโตราว 15% จากปีก่อน ขณะเดียวกันจะรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิ 15-18% และอัตรากำไรขั้นต้น 35-40% ให้ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 600 ล้านบาท จะสามารถรับรู้รายได้ปีนี้ทั้งหมด
ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ จำนวน 8 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยจะเป็นแนวราบ 100% ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็นโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70% และในทำเลต่างจังหวัด 30% ซึ่งครึ่งปีแรกจะเปิดโครงการแนวราบทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่า 2,000-2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ ในพื้นที่จ.นนทบุรี,ปทุมธานี และอีก 1 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว
นอกจากนี้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ 800-900 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดที่มีในมือ อีกทั้งยังมีแผนออกหุ้นกู้ในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อสำรองทุนไว้ใช้หมุนเวียนในการขยายธุรกิจในระยะยาวให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และใช้คืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้จำนวน 600 ล้านบาท
สำหรับยอดปฎิเสธสินเชื่อในปี 59 บริษัทฯคาดจะทรงตัวในระดับเดียวกันกับปี 58 ที่อยู่ที่ 20-25% เพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่อยู่ที่ 15-18% เนื่องด้วยหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯก็มีการรับมือกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งได้เป็นพันธมิตรกับธนาคารพาณิชย์ และตรวจสอบเอกสารลูกค้าก่อนยื่นกู้สถาบันการเงิน เพื่อทำให้อัตราการปฎิเสธสินเชื่อลดลง
ด้านนายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร LALIN กล่าวว่า แนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 59 อยู่ในภาวะปรับตัวจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงชะลอตัว การเมืองมีเสถียรภาพ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ โดยหนึ่งในมาตรการนั้น คือการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ระดับกลางและระดับล่าง ซึ่งนับว่าเป็นฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ ทำให้ช่วยดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมา
ด้านการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร เริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น นอกจากนั้นรัฐบาลยังเร่งผลักดันแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างระบบขนส่งคมนาคมและอื่นๆ มูลค่ากว่า 1.7 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กลับมาคึกคักได้ และสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยลบที่ยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจจีน และตลาดทุนที่อยู่ในช่วงของความผันผวน รวมถึงเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเปราะบาง ราคาที่ดินที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมากเกินไป ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และปัญหาโอเวอร์ซัพพลายของโครงการแนวสูงจากปีที่ผ่านๆมา