TEGH ดีด 4% เก็งกำไรไตรมาส 2 โตแกร่ง รับราคายางพุ่ง-EUDR ดันยอดขายทะลัก

TEGH ดีด 4% เก็งกำไรไตรมาส 2/67 เติบโตแกร่ง รับราคายางพุ่ง รวมถึงดีมานด์ยางแท่งมาตรฐาน EUDR จากลูกค้ายุโรปและนอกยุโรปสูงขึ้น ตุนออเดอร์ 1 แสนตัน ดันยอดขายทะลัก


ผู้สื่อข่าวรายงาน (14 มิ.ย.67) ว่า บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH อยู่ที่ระดับ 3.92 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 4.26% สูงสุดที่ระดับ 3.96 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.78 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15.30 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมา ตอบรับข่าว นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนที่มีรายได้รวม 3,708.65 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 63.43 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามราคายางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ยางแท่งมาตรฐาน EUDR (การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป) และยางแท่งที่ไม่ใช่เกรดมาตรฐาน EUDR โดยลูกค้าฝั่งยุโรป และสหรัฐอเมริกากลับมาสั่งซื้อยางมากขึ้น ซึ่งในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 มีแรงซื้อเข้ามาสูง และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ด้วย ซึ่งจะมีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) สูงขึ้น

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2567 เป็นช่วงที่มียอดขายยางแท่งมาตรฐาน EUDR มากขึ้น โดยได้เริ่มส่งมอบยางแท่งดังกล่าวล็อตแรกประมาณ 1,000-2,000 ตัน ไปให้กับกลุ่มลูกค้าในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา และในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2567 นี้ จะส่งมอบเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4,000-5,000 ตัน และในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ จะส่งเพิ่มขึ้นเป็น 40% ของยอดผลิตยางทั้งหมด และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2568 ดังนั้นบริษัทมั่นใจจะสามารถส่งมอบยางแท่งมาตรฐาน EUDR แตะ 100,000 ตัน ภายในสิ้นปี 2567 จากกำลังการผลิตทั้งหมด 150,000 ตัน และในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 ตัน

“ความต้องการ (ดีมานด์) ยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่สูงในฝั่งยุโรป และลูกค้าที่ส่งยางล้อไปขายในยุโรป คาดว่าจะทำยอดขายได้เกินเป้าหมาย 100,000 ตัน เนื่องจากตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเพิ่ม 2-3 ราย ในการสรุปคำสั่งซื้อ (Order) อีก 50,000 ตัน โดยประเมินว่าทั้งปี 2567 อาจมีการส่งมอบเต็มกำลังการผลิต 150,000 ตัน ซึ่งจะเห็นออเดอร์ล็อตใหญ่ในไตรมาส 3/2567 และปี 2568 จะมากกว่า 250,000 ตัน หรือขยายเพิ่มได้อีก 50,000 ตัน และพิจารณาขยายไปตามดีมานด์ของลูกค้า” นางสาวสินีนุช กล่าว

ขณะที่ TEGH มีพอร์ตส่งออกยางไปยุโรป 18% จากสัดส่วนส่งออกทั้งหมด 51%  ของยอดขายทั้งหมด และส่วนที่เหลือ 49% เป็นการขายให้กับลูกค้าในประเทศไทย โดยเป็นลูกค้าแบรนด์ยุโรป และสหรัฐอเมริกา 60% ซึ่งทั้งพอร์ตส่งออกไปยุโรปคิดเป็นสัดส่วน 30-40% โดย TEGH ต้องทำตามกฎเกณฑ์ และต้องการเป็นผู้นำในส่วนของยางแท่งมาตรฐาน EUDR เพื่อสนองดีมานด์ของลูกค้าฝั่งยุโรปที่มีความต้องการมากว่า 4 ล้านตัน  และนอกยุโรปที่ส่งสินค้าไปยุโรปอีกกว่า 3 ล้านตัน ถือเป็นโอกาสในการเติบโต และช่วยหนุนราคายางสูงไปอย่างน้อยถึงปี 2569

นางสาวสินีนุช กล่าวต่อว่า บริษัทมองว่าประเทศไทยยังคงเป็นเบอร์ 1 และรักษาสัดส่วนการส่งออกยางแท่งมาตรฐาน EUDR เป็นเบอร์ 1 ของโลกได้ต่อเนื่อง เพราะประเทศอื่นยังติดปัญหาการตัดไม้ และคุณภาพของแหล่งซัพพลาย โดย TEGH ได้มีการบริหารซื้อยางกระจายให้ครบทุกภาค เพราะแต่ละภูมิภาคมีฤดูยางที่แตกต่างกัน  และคอยสนับสนุนเกษตรกรให้ได้การรองรับมาตรฐาน EUDR เพื่อที่จะซื้อในราคาที่พรีเมียมสร้างรายได้แก่เกษตรกร และบริษัทเองจะขายในราคาที่พรีเมียมได้ต่อไป

โดยความสามารถในการทำอัตรากำไรขั้นต้นของยาง EUDR จะอยู่ที่ 5-8% ในปัจจุบัน แต่ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2567 สัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มเป็น 40% และเพิ่มขึ้นอีกในปี 2568 คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องตามสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนกรอบราคายาง EUDR ปัจจุบันค่อนข้างห่างจากราคายางที่ไม่ใช่ EUDR ถึง 20 บาท (ช่วงแรกเท่านั้น) และอนาคตหากดีมานด์และซัพพลายสมดุลกัน ทั้งในตลาดไทย และทั่วโลก มองว่าส่วนต่างกรอบราคายางน่าจะอยู่ที่ 3-5 บาท

ทั้งนี้ บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิตยางแท่ง โดยมีการเพิ่มเตาใหม่ 2 เตา และจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/2567 เบื้องต้นในช่วงครึ่งปีหลังจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้นเป็น 390,000 ตัน และในช่วงต้นปี 2568 จะขยายเพิ่มขึ้นมาอีก 35,000 ตัน รวมเป็นกำลังการผลิตใหม่ในปี 2567 และปี 2568 เพิ่มขึ้นอีก

ด้านธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังมีการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และปิดปรับปรุงไลน์ผลิตเดิม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 โดยติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ลูกใหม่ 30 เมตริกตัน (MT) เพื่อลดการสูญเสียน้ำมัน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกระบวนการทดสอบเครื่องจักร คาดเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 3/2567 นี้

ขณะที่ภาพรวมผลปาล์มปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อนที่มีผลผลิต 18.20 ล้านตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) คาดว่าจะอยู่ในช่วง 31-36 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนปริมาณผลผลิตน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) ลดลงตามปริมาณผลปาล์มที่ลดลง แต่ความต้องการใช้ CPKO คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2566 จากปริมาณน้ำมันมะพร้าวที่ลดลง ผู้ผลิตจึงหันมาใช้น้ำมันเมล็ดในปาล์มทดแทน และราคา CPKO คาดว่าจะฟื้นตัวอยู่ในช่วง 33-38 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าปี 2566 เช่นเดียวกับ CPO

ส่วนธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ หลังจากที่เดินระบบและเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพเฟสที่ 1 งบลงทุน 330 ล้านบาท ขนาดผลิตก๊าซชีวภาพ 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ปัจจุบันมีการเซ็นสัญญากับลูกค้าภายนอกไว้รองรับทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป

Back to top button