“คลัง”ถก“แบงก์ชาติ”ช่วยแก้หนี้เสีย-เครดิตบูโร เหตุโควิดทำกระทบ 4 ล้านคน
รมช.คลัง คุย “แบงก์ชาติ” หวังช่วยผ่อนเกณฑ์ให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อ พร้อมยืดหยุ่นเรื่องหนี้เสียเครดิตบูโร หลังพบช่วงโควิดทำคนเป็นหนี้ NPL ได้รับผลกระทบ 4 ล้านคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 มิ.ย. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีการพูดคุยเบื้องต้นกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงแนวทางในการผ่อนคลายเกณฑ์ในการเข้าถึงสินเชื่อ และหลาย ๆ เรื่อง เช่น การเข้าสู่สภาวะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของประชาชน
โดยเฉพาะเรื่องเครดิตบูโร ที่อยากให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากปัจจุบันการตัดหนี้เสียของสถาบันการเงินจะต้องใช้เวลา 5 ปี และถูกเก็บประวัติไว้ที่เครดิตบูโรอีก 3 ปี เป็นตัดหนี้เสีย 3 ปี และเก็บประวัติไว้ 3 ปี เนื่องจากประชาชนที่เป็น NPL ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จนกลายเป็นลูกหนี้รหัส 21 ซึ่งมีอยู่ราว 4 ล้านราย ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่ง ธปท. ก็รับโจทย์เรื่องนี้ไป และจะต้องมีการหารือกันต่อ ซึ่งยอมรับว่าอาจจะไม่ได้ข้อสรุปในทันที โดยต้องมาทยอยดูรายละเอียดกัน แต่ยืนยันจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยมีสภาพคล่องอยู่ราว 24 ล้านล้านบาท อยู่ในระบบจริงไม่เกิน 18 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นทุนสำรองตามกฎหมาย ดังนั้นอาจจะต้องมาดูว่าจะมีมาตรการอย่างไรเพื่อเข้ามากระตุ้น และขับเคลื่อนเพื่อให้เม็ดเงินเหล่านี้ลงสู่ระบบได้มากขึ้น
โดยตอนนี้มี 2 มุม คือ 1.ดำเนินการผ่านอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ 2. ดำเนินการผ่านการสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อให้มากขึ้น สามารถทำได้ผ่านธนาคารออมสิน ซึ่งก่อนหน้านี้คลังได้เห็นชอบการปรับระบบการให้ผลตอบแทนตามระบบประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
โดยเปลี่ยนออมสินจากประเภทจัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัส (กลุ่มที่ 2) ไปเป็นประเภทที่ใช้ระบบแรงจูงใจด้านโบนัสพนักงานที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น การดำเนินการตามนโยบายรัฐ การช่วยเหลือประชาชน (กลุ่ม 6) ก็จะทำให้ออมสินมีความคล่องตัวมากขึ้นในการเข้ามาช่วยเหลือประชาชน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไว้แล้วหลายมาตรการ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสรุป จึงไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ โดยต้องยอมรับว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยไม่ดี เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายรู้ดีอยู่แล้ว สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1/2567 ที่ออกมาค่อนข้างต่ำเพียง 1.5%
ขณะเดียวกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก็ได้ออกมาปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2567 ลงเหลือ 2.4-2.5% เท่านั้น
โดยขณะนี้มี 3 กลไกที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้แก่ การเร่งรัดการเบิกจ่าย การท่องเที่ยว และการเร่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งหากคำนวณตามสูตรแล้ว เชื่อว่า 3 กลไกดังกล่าวจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ให้ขยายตัวได้ราว 0.6% ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้จีดีพีปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3% ได้ เนื่องจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ยังไม่มา
ส่วนแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ ยังมีการหารือกันอย่างต่อเนื่องกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงการคลังยังเชื่อว่าการจัดเก็บรายได้จะพลาดเป้าไม่มากนัก ไม่มีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด โดยทุกอย่างยังอยู่ในกรอบและกลไกของรัฐที่จะสามารถดูแลและบริหารจัดการได้ในระดับปกติ ขณะที่กลไกในการหารายได้เพิ่มนั้น กระทรวงการคลังก็มีการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง บนเงื่อนไขว่าจะต้องไม่ส่งผลกระทบกับประชาชน.