ดาวโจนส์ปิดบวกจากแรงซื้อเก็งกำไร
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค รวมถึงหุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) โดยปัจจัยบวกเหล่านี้สามารถชดเชยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (19 ม.ค.) ที่ 16,016.02 จุด เพิ่มขึ้น 27.94 จุด หรือ +0.17%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,476.95 จุด ลดลง 11.47 จุด หรือ -0.26% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,881.33 จุด เพิ่มขึ้น 1.00 จุด หรือ +0.05%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากที่ดาวโจนส์ดิ่งลงไปกว่า 390 จุด หรือ 2.39% เมื่อวันศุกร์ อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลที่ว่า วิกฤตราคาน้ำมันอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานและประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกน้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค โดยหุ้น P&G พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ขยับขึ้น 0.5% หุ้นยูไนเต็ด เฮลธ์ ปรับขึ้น 3.02% หุ้น Amazon.com ปรับขึ้น 0.8%
ทั้งนี้ หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้รับแรงหนุนหลังจากทางบริษัทประกาศแผนปรับลดจำนวนพนักงานในอัตราส่วน 6% ในธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ ขณะที่หุ้น Amazon.com ได้รับปัจจัยบวกหลังจากหนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ของอังกฤษรายงานว่า Amazon.com อาจจะจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Ocado ซึ่งเป็นธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ของอังกฤษ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านทรงตัวที่ระดับ 60 ในเดือนม.ค. แต่ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยังคงสดใส ขณะที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น และบ้านมีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงและเป็นปัจจัยถ่วงตลาดในระหว่างวัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ดิ่งลง 1.52% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.58%
หุ้นมอร์แกน สแตนเลย์ ร่วงลง 1.1% แม้ว่าธนาคารเปิดเผยว่าสามารถกลับมามีผลกำไรในไตรมาส 4 โดยอยู่ที่ระดับ 908 ล้านดอลลาร์ หรือ 39 เซนต์/หุ้น เทียบกับที่ขาดทุน 1.63 พันล้านดอลลาร์ หรือ 91 เซนต์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปี 2014, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ร่วงลง 1.52% แม้ว่าธนาคารเปิดเผยรายงานผลกำไรเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.34 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 หรือ 28 เซนต์/หุ้น เทียบกับ 3.05 พันล้านดอลลาร์ หรือ 25 เซนต์/ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปี 2014
ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค. และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน-การอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค.