CPF บวก 4% นิวไฮรอบ 17 เดือน เก็ง Q2 โตเด่น-แรง Cover short หนุน
CPF บวก 4% นิวไฮรอบ 17 เดือน เก็งงบไตรมาส 2/67 โตเด่น พ่วงแรง Cover short หนุน หลังมีมาตรการคุมเข้มการขายชอร์ต ฟากโบรกแนะหุ้นเด่นในเดือน ก.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2ก.ค.67)ราคาหุ้นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ณ เวลา 15:40 น.อยู่ที่ระดับ 23.60 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 3.96% ราคาสูงสุด 23.70 บาท ราคาต่ำสุด 22.60 บาท โดยราคาหุ้นแรงในรอบ 1 ปี 5 เดือน หรือประมาณ 17 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 23.60 บาท เมื่อวันที่ 7 ก.พ.66
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกยังเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดย SET Index ปรับตัวลงราว -7% YTD vs MSCI World Index ปรับตัวขึ้น +10% ถูกกดดันจากงบประมาณปี 2567 มีความล่าช้าถึง 7 เดือน ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ และคาดการณ์ GDP ไทยถูกหั่นลงมาต่อเนื่อง สวนทางประเทศอื่น ๆ ในตลาดเกิดใหม่ที่ส่วนใหญ่ GDP เริ่มมีแนวโน้มปรับขึ้น
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของปัจจัยการเมืองในประเทศ ยิ่งซ้ำเติมความเชื่อมั่นนักลงทุนให้แย่ลงอีก โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ปีนี้ขายสุทธิหุ้นไทยแล้วมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพทางเทคนิคยังคงเป็นแนวโน้มการแกว่งซิกแซกในกรอบขาลงต่อไปตราบใดที่ SET Index ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมายืนระดับ 1330 และ 1350 ตามลำดับ
โดยปัจจัยการเมืองในประเทศที่ต้องติดตามคือ คดียุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 3 ก.ค. และกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 ก.ค. ส่วนคดีนายกฯ เศรษฐา ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ส่งหลักฐานเพิ่มและนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 10 ก.ค. นี้ ดังนั้น หากไม่มีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ทั้ง 2 คดีคาดจะมีความชัดเจนเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ค. เป็นอย่างเร็วที่สุด แต่หากมีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ก็ต้องใช้เวลาที่นานขึ้น ซึ่งจะเป็นเรื่องที่กดดันตลาดค้างคากันต่อไป
เรายังคงมุมมองเดิม คือ ความไม่แน่นอนของคดีนายกฯ เศรษฐา เป็นคดีที่มีน้ำหนักกดดันตลาดมากที่สุด เพราะในกรณีแย่ที่คำวินิจัยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายกฯ เศรษฐาพ้นตำแหน่ง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ นอกจากจะทำให้การทำงานของรัฐบาลเกิดสะดุดแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกด้วย ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติและภาวะเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยสรุป ตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่สามารถแกว่งตัวไปไหนได้ไกล โดย Upside ตลาดระยะสั้นยังถูกจำกัดจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ไม่แน่นอน และภาพทางเทคนิค SET Index ยังเป็นแนวโน้มแกว่งซิกแซกในกรอบขาลง แต่ในขณะเดียวกัน Downside ตลาดก็อาจจะไม่มาก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ Laggard อยู่แล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ โดย 12m Fwd. PER อยู่เพียง 13.4x, PBV อยู่ที่ 1.2 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3.5%
หากมีความชัดเจนทางการเมืองโดยเฉพาะคดีของคุณเศรษฐา ซึ่งในกรณีฐานเราเชื่อว่านายกฯ เศรษฐายังคงในตำแหน่งต่อไป คาดจะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้น เรายังคงเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในครึ่งปีหลังตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจากการใช้จ่ายด้านการคลังหลังงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าก่อนหน้านี้เร่งเบิกจ่ายต่อเนื่อง และการทยอยออกมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผสานกับมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ทั้งการคุมเข้มการขายชอร์ต เช่น มาตรการ Uptick และการส่งเสริมการออมการลงทุน โดยปรับเงื่อนไข TESG ให้จูงใจนักลงทุนมากขึ้น คาดจะเป็นผลดีต่อตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยยังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,500 จุด (อิงจาก Fwd. PER ที่ 16.6 เท่า และ SET EPS ปีหน้าที่ 90.5 บาท) ส่วนหุ้นเด่นในเดือน ก.ค. ให้ความสำคัญกับหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป้าหมายการลงทุนของ TESG เด่น AOT, BDMS, CPALL, PTT ผสานกับหุ้นที่คาดงบไตรมาส 2/67 จะออกมาดี และหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อคืน (Short Covering) หลังมีมาตรการคุมเข้มการขายชอร์ต แนะนำ AAI, AWC, CBG, CPF ดังนั้นหุ้นเด่นในเดือน ก.ค. คือ AAI, AOT, AWC, BDMS, CBG, CPALL, CPF และ PTTด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1300, 1280, 1250 และ 1330, 1350-1360 จุด ตามลำดับ
ขณะที่วานนี้(1ก.ค.67) หุ้น CPF มีการปิดสถานะชอร์ตด้วยการซื้อคืน(Cover Short) จำนวน 3,373,900 หุ้น ซึ่งหากเทียบกับราคาปิดวานนี้ที่ระดับ 22.70 บาท คิดเป็นมูลค่า 76,587,530 บาท