NER วิ่งยาว 3 วันพุ่ง 5% จับตากำไร Q2 โตเด่น โบรกเคาะเป้า 6.95 บาท ยีลด์ปีนี้ทะลุ 9%
NER บวกยาว 3 วันราคาพุ่ง 5% ลุ้นประกาศงบไตรมาส 2/67 วันที่ 9 ส.ค.นี้ โบรกชี้กำไรโตมั่นคง พ่วงปันผลสูง คาดยีลด์ทั้งปีนี้สูงกว่า 9.5%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (31 ก.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ณ เวลา 10:44 น. อยู่ที่ระดับ 4.84 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 1.26% สูงสุดที่ระดับ 4.84 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.47 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น NER ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 นับตั้งแต่ราคาปิดที่ระดับ 4.62 บาท เมื่อวันที่ 25 ก.ค.67 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมากว่า 4.76%
ด้าน นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 67 มีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจากได้ปัจจัยบวกราคายางพาราที่ยืนอยู่ในระดับสูง และยังคงเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อ (Order) ล่วงหน้าครอบคลุมเกือบทั้งปีแล้ว
ขณะที่ ในช่วงไตรมาส 3/67 บริษัทจะเริ่มส่งออกยางมาตรฐานสหภาพยุโรป (อียู) ที่เริ่มบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EU Deforestation Regulation (EUDR) ภายในสิ้นปี 2567 ซึ่ง NER จะมีการส่งออกยาง EUDR ล็อตแรกให้บริษัทยางสัญชาติจีนในเดือนสิงหาคม 2567 และส่งออกมากขึ้นในไตรมาส 4/2567
“ครึ่งปีหลัง NER จะส่งออกยาง EUDR โดยได้ราคาขายที่ดี และมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าปกติเข้ามาหนุนผลการดำเนินงาน คาดว่าปีนี้จะส่งออกได้ประมาณ 20,000 ตัน และส่งออกมากขึ้นได้เต็มปีในปี 68 แต่อาจจะมีการพิจารณาปรับตัวเลขใหม่อีกครั้งหลังประกาศงบไตรมาส 2/67” นายชูวิทย์ กล่าว
นายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบริหารบัญชี-การเงิน NER เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เพิ่มเติมว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/67 จะออกมาดีใกล้เคียงกับบทวิเคราะห์ที่บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ประเมินไว้ ตามปัจจัยบวกของราคายางที่ดี ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติ และประกาศงบไตรมาส 2/67 ในวันที่ 9 ส.ค.67
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 67 บริษัทคงเป้าหมายจะมีรายได้เติบโตจากปี 66 ที่มีรายได้รวมประมาณ 25,000 ล้านบาท เนื่องจากราคายางที่สูงขึ้นตามความต้องการ (ดีมานด์) ของอุตสาหกรรมโดยรวม ซึ่งจะเข้ามาชดเชยปริมาณการขายยางที่อาจน้อยกว่า 500,000 ตัน หลังซัพพลายเข้าระบบน้อยจากภัยแล้งเมื่อต้นปี ทำให้เกิดการบริหารสต๊อกของลูกค้า
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น NER ให้ราคาเป้าหมายราคา 6.95 บาทต่อหุ้น คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 เป็นจุดสูงสุดของปี คาดการณ์กำไรปกติไว้ที่ระดับ 600 ล้านบาท (บวกลบ) เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน แม้ว่าปริมาณขายใกล้เคียงไตรมาส 2/67 แต่คาดว่าราคาขายเฉลี่ย (ASP) จะสูงกว่า และมีต้นทุนขายเฉลี่ยลดลงจากต้นทุนรับเข้าใหม่ลดลงในไตรมาส 3/67 ตามราคาตลาดหนุน
ขณะที่ ประเมินว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะเร่งตัวขึ้นอาจแตะระดับ 14-15% (New high) ได้ และในไตรมาส 4/67 กำไรอาจชะลอลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ไม่มาก เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นตามปริมาณวัตถุดิบในตลาด สต๊อกจีนเริ่มลดลง บวกกับจีนลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในการนำเข้ายางธรรมชาติจาก 13% เป็น 9% เริ่ม 1 ก.ค.67 ทำให้ความต้องการจากจีนสูงขึ้น
นอกจากนี้ ฝั่งแอฟริกาให้ความสำคัญในการปลูกยางพารา โดยลดแรงกดดันด้าน Supply ใหม่ลดลง และราคายางมีโอกาสกลับมาสูงขึ้นได้ รวมถึงยาง EUDR จะช่วยหนุนกำไรในไตรมาส 4/67 ของ NER ซึ่งปัจจุบันหุ้น NER ซื้อขาย (PER 67) ต่ำเพียง 4.90 เท่า คาดการณ์เงินปันผลงวดช่วงครึ่งปีแรกของปี 67 ไว้ที่หุ้นละ 0.07 บาท ให้ผลตอบแทน 1.5% และทั้งปี 67 คาดปันผลหุ้นละ 0.45 บาท ให้ผลตอบแทน 9.50% ถือว่าผลการดำเนินงานมีกำไรมั่นคง และให้ปันผลสูง
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/67 คาดปริมาณขาย 92,000 ตัน ลดลง 20% จากไตรมาสก่อน และลดลง 29.20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการชะลอการขาย เพื่อบริหารสินค้าคงคลังให้สมดุลตลอดทั้งปี จากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ส่วนราคาขายยางพาราเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 66 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 30.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังปริมาณวัตถุดิบที่ลดลง แต่ความต้องการยังมีสูง โดยเฉพาะการกลับมาสต๊อกของฝั่งตะวันตก
ด้านรายได้ในไตรมาส 2/67 ประเมินที่ 6,052 ล้านบาท ลดลง 7.50% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลง 7.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 13.10% จาก 11.6% ในไตรมาส 1/67 และ 12.90% ในไตรมาส 2/66 จากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนขายเพิ่มขึ้นช้า ทำให้มีกำไรปกติ 493 ล้านบาท เติบโต 3.80% จากไตรมาสก่อน และลดลงเล็กน้อย 3.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บวกกับคาดว่าจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน/อนุพันธ์ 30 ล้านบาท จึงคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 463 ล้านบาท