VGI บวก 4% รับทุนยักษ์ไทย-ดูไบทุ่ม 1.3 หมื่นล้าน เข้าถือหุ้นใหญ่ 44%

VGI บวก 4% รับกลุ่มทุนใหญ่ไทย-ดูไบ ทุ่มทุน 1.3 หมื่นล้านบาท ผ่าน 4 กองทุน เข้าถือหุ้นใหญ่ กว่า 44% “เจ้าสัวคีรี” ยอมลดสัดส่วน จาก 61.13% เหลือ 34.23% มั่นใจดีลจบ Q4/67 ผลักดันเรือธง “วีจีไอ” เดินหน้าลงทุนแบงก์ไร้สาขา 7,500 ล้านบาท รวมทั้งสถานบันเทิงครบวงจรอีก 5,000 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(5ส.ค.67) ราคาหุ้นบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ณ เวลา 10:22 น. อยู่ที่ระดับ 1.88 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 4.00% ราคาสูงสุด 1.89 บาท ราคาต่ำสุด 1.78 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 343.97 ล้านบาท

ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTS เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการ (ครั้งที่ 6/2567) วันที่ 1 ส.ค. 2567 มีการอนุมัติปรับโครงสร้างการถือหุ้นบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI (บริษัทย่อย) โดยให้ VGI ออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวนไม่เกิน 8,805,480,334 หุ้น (พาร์ 0.10 บาท) คิดเป็น 44.03% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด ราคาเสนอขายหุ้นละ 1.50 บาทหุ้น (คิดเป็นส่วนลดจากราคาตลาด 4.63%) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,208,220,501 บาท ให้แก่ผู้ลงทุน 4 กองทุน ประกอบด้วย 1)กองทุน CAI Optimum Fund VCC บริหารจัดการโดย Capital Asia Investments Ptd. Ltd. จำนวน 2,900,000,000 หุ้น หรือ 14.50% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด

2)กองทุน Si Suk Alley Limited บริหารจัดการโดย Argyle Street Management Limited จำนวน 2,805,480,334 หุ้น หรือ 14.03% 3)กองทุน Opus-Chartered Issuances S.A. บริหารจัดการโดย Agmoni Eyal, Bartelloni Andrea, Maier Daniel, Melizzi Nicola, Perin Paolo, Wenkel Tobias จำนวน 2,200,000,000 หุ้น หรือ 11% และ 4)กองทุน Asean Bounty ที่อยู่ระหว่างจัดตั้งบริหารจัดการโดย Finansia Investment Management จำนวน 900,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 4.50%

โดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว จะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้น BTS ใน VGI ลดจาก 61.13% เหลือ 34.23% คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4/2567 นอกจากนี้ยังมีมติแจก VGI-W4 ฟรี ให้ผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 1,119 ล้านหุ้น อัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 VGI-W4 สำหรับการใช้สิทธิ VGI-W4 อัตราส่วน 1:1 ราคาหุ้นละ 1.50 บาท มีอายุ 9 เดือน ขึ้นเครื่องหมาย XW วันที่ 15 ส.ค. 2567

โดยบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ระบุว่า การเพิ่มทุน PP ดังกล่าว เกิดจากการที่บริษัทได้รับการติดต่อจากผู้ลงทุนว่า ผู้ลงทุนทั้ง 4 รายดังกล่าว มีความสนใจเข้าลงทุน ประกอบกับปัจจุบันบริษัทต้องการระดมทุน เนื่องจากสัญญาให้สิทธิในการบริหารจัดการพื้นที่โฆษณาของบริษัทที่เป็นรายได้หลักกำลังจะหมดอายุใน 5 ปี (สิทธิในการบริหารจัดการพื้นที่โฆษณาบนเครือข่ายรถไฟฟ้าดังกล่าวจะสิ้นสุดลงช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2572)

ดังนั้น บริษัทจึงมีความประสงค์จะเข้าลงทุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และต่อยอดกับธุรกิจเดิมของบริษัท ได้แก่ ธุรกิจสื่อโฆษณาและความบันเทิง (Media and Entertainment) ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล (Digital Services) และธุรกิจการจัดจำหน่าย (Distribution)

โดยผู้ลงทุนทั้ง 4 ราย เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดี มีศักยภาพและมีความมั่นคง บริษัทได้พิจารณาคุณสมบัติต่าง ๆ แล้ว เห็นว่าผู้ลงทุนเป็นผู้มีความพร้อมด้านการลงทุนและมีสถานะการเงินที่ดี ทำให้บริษัทได้รับเงินทุนตามจำนวนที่ต้องการ เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการหรือเข้าร่วมลงทุนกับผู้ลงทุนรายอื่น เพื่อต่อยอดรายได้จากแหล่งอื่นอีก เหนือจากสื่อโฆษณาในระบบรถไฟฟ้าและลดความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถต่ออายุสิทธิการบริหารพื้นที่โฆษณาบนเครือข่ายรถไฟฟ้าออกไปได้ ตลอดจนเป็นการเพิ่มศักยภาพ และความเชื่อมั่นการดำเนินธุรกิจต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) และสถาบันการเงินได้

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะนำความรู้ความสามารถ รวมถึงประสบการณ์มาส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อขยายแผนธุรกิจบริษัท และบริษัทเล็งเห็นศักยภาพและโอกาสการเติบโตและโอกาสการเพิ่มแหล่งรายได้ในอนาคต และเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นโดยรวม นอกจากนี้การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสนใจลงทุนและเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นจะเสริมภาพลักษณ์และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ลงทุนอื่น ๆ มากขึ้นอีกด้วย

ด้านแหล่งข่าวใกล้ชิดกับดีลนี้ เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ผู้รับประโยชน์สูงสุด (Ultimate Beneficiary) เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย และยังมีสายสัมพันธ์กับดูไบ เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในอนาคตของ VGI ภายหลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่

โดยเบื้องต้น VGI มีแผนนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อลงทุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) โดยบริษัทจะทำการลงทุนใน Virtual Bank โดยบริษัทเอง หรือผ่านบริษัทย่อยของบริษัทไม่เกิน 7,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ การเข้าลงทุน Virtual Bank จะเป็นการเข้าร่วมกับพันธมิตรรายอื่น ๆ และยังอยู่ระหว่างการเจรจาสัดส่วนการถือหุ้น และจะถือหุ้นไม่เกิน 25% โดยมองว่าบริษัทและพันธมิตรมีศักยภาพในการเข้าร่วมขออนุญาต Virtual Bank เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์ในด้านการเงินและบริการด้านดิจิทัล (Digital Services) ผ่าน Rabbit Card และ Rabbit Cash รวมถึงความสามารถในการผสมผสานความสามารถทางด้านการเงิน ข้อมูล และเทคโนโลยี เข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี

เนื่องจากพันธมิตรที่อยู่ระหว่างการเจรจาการร่วมกันขอใบอนุญาตนี้ ล้วนมีศักยภาพสูงในการลงทุน บริษัทจึงเห็นว่าการที่บริษัทมีเงินเพิ่มทุนเข้ามาเตรียมพร้อมไว้ถือเป็นคุณสมบัติข้อสำคัญ และเป็นโอกาสเพิ่มความเชื่อมั่นที่พันธมิตรมีต่อบริษัทในการร่วมโครงการกันครั้งนี้ด้วย

อย่างไรก็ดีบริษัทจะนำเงินทุนที่เหลือมาลงทุนโครงการที่เกี่ยวกับธุรกิจสื่อโฆษณาและความบันเทิง (Media and Entertainment) โดยอาจรวมถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อต่อยอดกับธุรกิจเดิม ได้แก่ ธุรกิจสื่อโฆษณาและความบันเทิง (Media and Entertainment) ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล (Digital Services) และธุรกิจการจัดจำหน่าย (Distribution)

นอกเหนือจากนั้น บริษัทจะนำเงินลงทุนมาพัฒนาและปรับปรุงระบบความบันเทิง (Entertainment) ในรถไฟฟ้าและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้มีความทันสมัยและสะดวกสบายต่อลูกค้าในการใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น

นายกวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการ BTS ยังได้อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน 11,704,567,524 บาท จากเดิม 69,525,194,648 บาท เป็น 81,229,762,172 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 2,926,141,881 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 4.5 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 4.50 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 16 ส.ค. 2567 และกำหนดเวลาจองซื้อวันที่ 17-18, 21-22 และ 24 ต.ค. 2567

อย่างไรก็ตาม หากผู้ถือหุ้นเดิม BTS ไม่ใช้สิทธิ์เพิ่มทุน RO เนื่องจากราคาหุ้นในกระดานสูงกว่า กลุ่มกาญจนพาสน์พร้อมเข้าไปใช้สิทธิ์ในส่วนนั้นทั้งหมด แต่เชื่อว่าเมื่อใกล้วันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนราคาน่าจะกลับไปยืนบริเวณ 5 บาทได้ไม่ยาก หลังจากนักลงทุนเข้าใจแผนการลงทุนบริษัทแล้ว

พร้อมกันนี้ BTS จะตั้งโต๊ะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ (ทำคำเสนอซื้อ) หุ้นบริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ ROCTEC และบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT โดย BTS พร้อมทำคำเสนอซื้อ ROCTEC แบบมีเงื่อนไข (Conditional Voluntary Tender Offer) จำนวน 6,716,524,538 หุ้น ราคาเสนอซื้อหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นมูลค่า 6,716,524,538 บาท โดยจะไม่ทำเทนเดอร์ฯ ROCTEC-W3 และ ROCTEC-W5 และทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญ RABBIT จำนวน 5,481,004,623 หุ้น คิดเป็น 17.23% และหุ้นบุริมสิทธิทั้งหมดจำนวน 8,109,121,267 หุ้น คิดเป็น 25.49% ราคาเสนอซื้อหุ้นละ 0.60 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8,154,075,534 บาท

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น ROCTEC และ RABBIT และบริษัทมีแผนจะนำเงินเพิ่มทุน BTS ไปชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มองผลกระทบจากการปรับโครงสร้างดังกล่าว สร้างความรู้สึกเชิงลบ (Negative Sentiment) ต่อราคาหุ้น BTS จากกำไรต่อหุ้นที่ลดลง (EPS dilution) ประมาณ 18% ที่เกิดขึ้นระยะสั้น อย่างไรก็ตามผลกระทบจะลดลงช่วงระยะยาว หาก ROCTEC ได้เปลี่ยนจากผู้ให้บริการสื่อกลางแจ้งมาเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่น ICT และ RABBIT มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จึงคงคำแนะนำ “ถือ” ต่อ BTS

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเชิงลบระยะสั้นเช่นกันต่อ VGI จาก 1)โอกาสในอนาคตจากธุรกิจ Virtual Bank ยังไม่ชัด 2)เกิด Dilution Effect ต่อผู้ถือหุ้นเดิม 44% 3)ธุรกิจหลักสื่อบนรถไฟฟ้า BTS และธุรกิจใหม่ ได้แก่ บริษัท แรบบิทแคร์ จำกัด (Rcare, Rcash) ผู้ให้สินเชื่อดิจิทัล และบริษัท แฟนสลิ้งค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (Fanslink) ผู้ให้บริการด้านอี-คอมเมิร์ซและร้าน Turtle บนสถานีรถไฟฟ้ายังไม่แข็งแรง ดังนั้นบริษัทยังอยู่ระหว่างทบทวนคำแนะนำและราคาเป้าหมาย VGI จากเดิม Trading Buy เป้าหมาย 1.70 บาท

รายงานข้อมูลจาก LSEG CONSENSUS ประมาณการกำไรสุทธิของ BTS ปี 2568 (เม.ย. 2567-มี.ค. 2568) ที่ 950.42 ล้านบาท ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 6.38 บาท จาก 8 โบรกเกอร์ สำหรับราคาหุ้น BTS เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ปรับตัวลดลง 4.69% ปิดที่ 4.06 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 863 ล้านบาท ขณะที่หุ้น VGI ลดลง 1.1% ปิดที่ 1.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 716 ล้านบาท

Back to top button