SAV บวก 4% โบรกเชียร์ “ซื้อ” เป้า 26 บาท รับกำไร Q2 โตกว่าคาด

SAV วิ่ง 4% โบรกแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26 บาท หลังรายงานกำไรไตรมาส 2/67 ออกมาโตกว่าคาดการณ์ จากรายได้การให้บริการที่เติบโตขึ้น จากการเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินแอร์เอเชียกัมพูชา


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 ส.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV ณ เวลา 10:23 น. อยู่ที่ระดับ 20.20 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 4.12% สูงสุดที่ระดับ 20.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 19.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 28.59 ล้านบาท

 

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (5 ส.ค.67) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV ราคาเป้าหมาย 26 บาท หลังบริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่า consensus และฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 104 ล้านบาท

ทั้งนี้ การเติบโตดังกล่าวได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1.รายได้จากการให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จากรายได้จากเที่ยวบินประเภท Landing & Take-off: Domestic เพิ่มขึ้นเป็น 13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 347% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 305% จากไตรมาสก่อนหน้า

อีกทั้งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจากสายการบินแอร์เอเชียกัมพูชาเริ่มให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศตั้งแต่ 2 พ.ค.67 ที่ผ่านมา จำนวน 8 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งทำให้จำนวนเที่ยวบินปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงรายได้ต่อเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากใช้เครื่องบินขนาดใหญ่และเป็นของภาคเอกชนทำให้มีการจ่ายค่าอัตราภาษี (tariff rate) ที่สูงขึ้น, รายได้จากเที่ยวบินประเภท Landing & Take-off: International อยู่ที่ 145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับตัวลดลง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า

โดยลดลงนั้นเป็นผลจากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วง low season และรายได้จากเที่ยวบินประเภท Overflight ปรับตัวดีขึ้นเป็น 282 ล้นบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ เป็นผลจากการท่องเที่ยวในประเทศรอบข้างที่ยังเติบโตดีขึ้น

2.อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 52.10% ขณะที่การเติบโตในช่วงไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 52.10% และไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 49.80% ซึ่งการเติบโตนี้ถือว่าทำได้ดีและทรงตัวจากไตรมาส 2/66 และดีขึ้นจากไตรมาส 1/67 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น

รวมไปถึง 3.มีการบันทึกภาษีหัก ณ ที่จ่ายจำนวน 13 ล้านบาทเมื่อเทียบไตรมาส 2/66 ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าว ลดลงจากไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 19 ล้านบาท ดังนั้นส่งผลให้กำไรช่วงครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

Back to top button