PROUD ดีด 4% รับเข้าเทรด SET วันแรก! ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจ พ่วง “แบ็กล็อก” ทะลุหมื่นล้าน
PROUD ดีด 4% ขานรับได้ฤกษ์เข้าเทรด SET กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วันแรก (6 ส.ค.67) ตามแผน! ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจ เพิ่มโอกาสนักลงทุนรายย่อย กองทุนใน-ต่างประเทศเข้าลงทุน มุ่งเน้นกลยุทธ์ขับเคลื่อนสู่หุ้นยั่งยืนตอบโจทย์ด้าน ESG ตัวเลือกใหม่การลงทุนเพื่ออนาคต เป้าหมายสู่หุ้นกองทุน Thai ESG สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในทุกมิติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 ส.ค. 67) ราคาหุ้น บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD ปิดตลาดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 1.39 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 3.73% สูงสุดที่ระดับ 1.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.33 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 72,000 บาท
นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร PROUD เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ผ่านคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในการย้ายหุ้น PROUD เข้าไปทำการซื้อขายใน SET กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2567 ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทฯ ที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีหลากหลายรูปแบบ ทั้งในส่วนที่บริษัทฯ พัฒนาและทำการควบรวมกิจการที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี และมีฐานะการเงินแข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจชะลอตัว
สำหรับการย้ายเข้าทำการซื้อขายใน SET เป็นโอกาสยกระดับธุรกิจของ PROUD ให้เติบโตอย่างมีศักยภาพ ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น และดึงดูดสถาบันทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุน High-Net-Worth Individual และนักลงทุนรายย่อย ตลอดจนคู่ค้าพันธมิตรทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
“ตลอดระยะเวลาที่จดทะเบียนในตลาด mai PROUD ถือเป็นหุ้น High Growth ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนดีกว่าสภาวะตลาดรวม โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันสามารถรักษาผลตอบแทนราคาเป็นบวก ขณะที่ตลาด mai ปรับตัวลงกว่า 13% และหุ้นกลุ่ม PROPCON ที่ปรับตัวลงกว่า 19% และยังเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) รวมถึงยังมีกองทุนต่างชาติจากประเทศสิงคโปร์เข้าถือหุ้น ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการดำเนินงานที่โดดเด่นตลอดมา ซึ่งสวนทางกับสภาวะอุตสาหกรรมอสังหาฯ” นายพสุ กล่าว
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ PROUD หลังจากในปีที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการควบรวมกิจการใน 2 โครงการจาก NOBLE ซึ่งโครงการแรกได้มีการทยอยรับรู้รายได้แล้ว และในปีนี้บริษัทฯ ยังมี Backlog ในมือกว่า 10,692 ล้านบาท ที่พร้อมทยอยรับรู้รายได้ในปี 2567-2569 โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการขายทุกโครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มเรียลดีมานด์และชาวต่างชาติ ซึ่งมียอดขายเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ปี 2567 มียอดจองจากชาวต่างชาติเติบโตสูงถึง 14% เมื่อเทียบกับปี 2566
บริษัทฯ ยังคงสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ต้องเผชิญความท้าทาย และด้วยความแตกต่างของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์และชาวต่างชาติซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงสุดในตลาดและเป็นฐานลูกค้าของบริษัทฯ อีกทั้งบริษัทฯ ได้ริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ ในการนำปัญญาประดิษฐ์ (Ai) มาปรับใช้งานบริการและการออกแบบโครงการ ควบคู่การดำเนินงานด้านความยั่งยืนอื่นๆ อย่างรอบด้าน จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ จะสามารถผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตตามเป้าหมาย พร้อมก้าวสู่การเติบโตต่ออย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ตามกลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจนภายใต้กรอบนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) และยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจอีกมากมาย
โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนากับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ เป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในหุ้นของกองทุนด้านความยั่งยืน (Thai ESG) ซึ่งปัจจุบันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติสิทธิพิเศษด้านภาษีที่สามารถขอลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 300,000 บาท เพิ่มเติมจากกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนในยุคปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนได้มากขึ้น จากการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ เป้าหมายสู่การได้เป็นหนึ่งในหุ้นกองทุนด้านความยั่งยืน (Thai ESG) จะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับสากลและสามารถดึงดูดนักลงทุนให้กับบริษัท ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนได้อีกมากในอนาคต