บลจ.กรุงไทย ตั้งเป้า AUM ปี 59 โต 15% รุกขยายฐานลูกค้ารายย่อย
บลจ.กรุงไทย ตั้งเป้า AUM ปี 59 โต 15% มาที่ 7.14 แสนลบ. รุกขยายฐานลูกค้ารายย่อย
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า ในปี 59 บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) เป็น 714,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปี 58 ที่ 617,621 ล้านบาท โดยมาจากกองทุนรวม 53% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานราว 32% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10% ซึ่งในปีนี้บริษัทมีนโยบายขยายฐานลูกค้ารายย่อย และมีแผนออกกองทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทน
โดยในปี 59 กองทุนรวมจะมากขึ้น และจะโตได้มากขึ้น จากการขยายฐานลูกค้ารายย่อยที่มีโอกาสโตอีกเยอะ ก็จะมีช่องทางการเติบโตต่อ โดยปัจจุบันสัดส่วนรายย่อยเกือบ 80% มูลค่าเงินลงทุนราว 60-70% ที่เหลือเป็นสถาบัน ในปีนี้กองทุน Money Market น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 58 ที่โต 65% ส่วนการออกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์) มีหารือกับเอกชนหลายรายก็สนใจที่จะออกแต่ยังไม่สรุป ขณะที่ในส่วนของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) คาดว่าจะออกได้ภายในกลางปีนี้ราว 1 กอง มูลค่าไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทมีแผนออกกองทุนเปิดลงทุนในประเทศในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะออกได้ 1 กอง เพราะมองว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวน ขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่มนี้ยังโตได้เป็นช่องทางที่นักลงทุนสนใจ คาดว่าจะเห็นได้ก่อนในตลาดหุ้นเวียดนามและลาว ที่มีพื้นฐานของประเทศพร้อม แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นแบบไฟลิ่ง แต่ต้องการเห็นการขายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ส่วนขนาดของกองทุนยังไม่ได้กำหนด แต่เท่าที่ได้หารือกับนักลงทุนสถาบันและรายย่อยพบว่ามีความสนใจ
“กลยุทธ์ปีนี้จะกระจายการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งกองตราสารหนี้ ตราสารทุนในและต่างประเทศ และในปีนี้จะเริ่มตั้งกองแรกไว้เพื่อลงทุนในกลุ่ม CLMV อนาคตถ้าพม่าพร้อม กัมพูชาพร้อม มีความต้องการรองรับในกลุ่มนี้”นางชวินดา กล่าว
สำหรับการลงทุนหลักในปีนี้ คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3-6% โดยเน้นกระจายการลงทุนเพื่อลดความผันผวนและเน้นการลงทุนในตราสารทุน รวมถึงสินทรัพย์ที่สร้างกระแสรายได้อื่นๆ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ REIT ,กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
โดยในปี 58 บลจ.กรุงไทย มี AUM ที่ 617,621 ล้านบาท เติบโตราว 4% จากปีก่อน ถือว่าโตต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ว่าจะมี AUM ที่ระดับ 6.8 แสนล้านบาท เนื่องจากตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวยทำให้ AUM ต่ำกว่าคาด แต่ยังสามารถเติบโตได้ เป็นผลจากการเติบโตของกองทุน Money Market ที่เพิ่มขึ้น 65% ปัจจุบันมัมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 98,200 ล้านบาท กองทุนรวมหุ้นระยะยาว เติบโต 10% และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพโตเพิ่มขึ้น 12.6%
“เป็นปีที่ค่อนข้างยากลำบาก ตลาดหุ้นผันผวน มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากระทบ มุมมองเราก็ต้องล้อไปกับภาวะ แต่เราก็ยังมีโอกาสในบาง area ที่จะโตได้อีกไกล ปีนี้ก็ต้อง diversify มากขึ้น เพราะด้วยความผันผวนมากเป็นพิเศษ แต่ก็เชื่อว่าเป็นโอกาส เราก็จะโตในกองทุนใหม่ๆ ปีนี้ก็จะโตด้วย Money Market ต่อเนื่อง และมีตราสารหนี้ใหม่ๆ”นางชวินดา กล่าว
ด้านนายวีระ วุฒิคงสิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในช่วง 1,150-1,480 จุด โดย 1,150 จุด น่าจะเห็นในช่วงครึ่งแรก และ 1,480 จุด จะเห็นในครึ่งหลัง เพราะมองว่าผ่านครึ่งแรกไปแล้วราคาน้ำมันดิบจะดีขึ้น ผลประกอบการหลายกลุ่มกลับมาดีขึ้น สอดคล้องกับเศรษฐกิจแนวโน้มดีขึ้น การลงทุนภาครัฐ ,Fund Flow มีส่วน ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินต่างชาติน่าจะไหลกลับครึ่งหลัง แต่จะยังไม่มากนัก เพราะเชื่อว่าต่างชาติจะยังไม่เข้ามาในรูปแบบของการลงทุนอย่างชัดเจนเนื่องจากยังไม่มีความเชื่อมั่นมาก
ทั้งนี้ มองค่าเงินบาทกลางปี 59 ที่ 37.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ครึ่งหลังปีนี้น่าจะอยู่ที่ 36.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และมองราคาน้ำมันดิบน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในครึ่งปีหลัง
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวระดับต่ำ และจะเผชิญกับความผันผวนจากการดำเนินนโยบายที่แตกต่างกันในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รวมถึงความเสี่ยงจากความตกต่ำของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตราสารทุน โอกาสการลงทุนจะอยู่ที่ตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง นโยบายการเงินผ่อนคลาย อัตรากำไรเติบโตสูง และระดับราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
สำหรับประเทศไทย ยังคาดหวังต่อแผนการลงทุนของภาครัฐ การเติบโตจากภาคการท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของการบริโภค ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากสภาพคล่องที่มีอยู่สูงมาก และคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ระดับต่ำไปถึงปลายปีเป็นอย่างน้อย ขณะที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป