TIDLOR ทรุด 13% เซ่นไตรมาส 2 NPL ปูด 1.86% โบรกหั่นเป้าเหลือ 14.80 บ. แนะขาย!

TIDLOR ทรุด 13% เซ่นไตรมาส 2/67 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) ปรับตัวขึ้นเป็น 1.86% พร้อมโบรกหั่นราคาเป้าเหลือ 14.80 บาท คำแนะนำเป็น “ขาย” และปรับกำไรปี 68-69 ลดลง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 ส.ค. 67) ราคาหุ้น บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ณ เวลา  10:41 น. อยู่ที่ระดับ 13.60 บาท ลบไป 2.10 บาท หรือ 13.38% สูงสุดที่ระดับ 14.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 13.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 389.90 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,091.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 927.23 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทมีรายได้รวม 5,464.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% จากงวดเดียวของปีก่อน  จากการขยายตัวของธุรกิจโดยรายได้หลักมาจากดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมและลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น 22.0% จากงวดเดียวของปีก่อน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้น 14.5% จากงวดเดียวของปีก่อน

อย่างไรก็ตามคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอมาก โดยเฉพาะรถบรรทุก ทำให้ในไตรมาส 2 ปี 2567 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL ratio) ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 1.86% ปรับตัวขึ้นจาก ณ สิ้นไตรมาส 1 ที่ระดับ 1.60% จากปัจจัยทำงเศรษฐกิจและคุณภาพของลูกหนี้หลังการสิ้นสุดมาตราการพักชำระหนี้ ทั้งนี้บริษัทมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเท่ากับ 4,356.0 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) ที่ 227.3% ปรับตัวลงจำก ณ สิ้นไตรมาสก่อนหน้า ที่ระดับ 264.1% แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยการตั้งสำรองเป็นไปตำมกำรบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมและคำนึงถึงปัจจัยความไม่แน่นอนที่อำจเกิดขึ้นในอนาคต

ด้านบล.กรุงศรี ได้ปรับลดประมาณการกำไรของ TIDLOR ในปี 2568-2569 ลงปีละ 3% มาอยู่ที่ 4,124 และ 4,386 ล้านบาท ตามลำดับ จากการจัดการปัญหาคุณภาพสินทรัพย์นานกว่าคาด โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ขึ้น ขณะเดียวกันได้ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” จากเดิมแนะนำถือ และได้ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายของปี 2568 อยู่ที่ 14.80 บาท จากราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 19 บาท เพราะการจัดการปัญหาคุณภาพสินทรัพย์นานกว่าคาด เบื้องต้นมองว่าจะลากยาวไปถึงครึ่งแรกปี 2568

Back to top button