“รอด-ไม่รอด” อนาคต “ตลาดทุน” กับคดีจริยธรรมนายกฯไทย
“รอด-ไม่รอด” อนาคต “ตลาดทุน” กับคดีจริยธรรมนายกฯไทย
วันที่ 14 ส.ค. 2567 ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำตัดสินคดีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ถูกร้องเรียนจากกลุ่ม 40 สว. เกี่ยวกับการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี อันเป็นพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุน เพราะการเมืองย่อมส่งผลการบริหารประเทศ ที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว นายเศรษฐานั้นจะมี 2 ทางที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน อย่างแรกคือ “รอด” โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ ถือว่าเป็นคุณกับนายเศรษฐา เพราะโครงการต่างๆที่รัฐบาลกำลังดำเนินการและบริหารงานอยู่ตอนนี้จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เช่น โครงการแจกเงินดิจิทัลวอเล็ต โครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) เหล่านี้กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นในเรื่องเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังเป็นคุณกับพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับโควตารัฐมนตรีที่เหลือ ที่จะสามารถตั้งคนใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งหลายฝ่ายคาดการรณ์กันว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วนี้ เนื่องจากมีแรงกระเพื่อมจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติที่มีการเรียกร้องกขอตำแหน่งตามโควตาหลังจากที่ที่ก่อนหน้านี้ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าจะมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำให้เป็นแรงกดดันต่อแกนนำพรรคเพื่อไทยให้ต้องปรับครม.ในที่สุด และทุกกระทรวงยังเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายต่างๆต่อไปได้
แต่หากศาลตัดสินวินิจฉัยว่า “ไม่รอด” ตรงนี้จะเป็นปัญหาทันที ซึ่งข้อมูลจาก นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นว่า หากนายเศรษฐาไม่รอด ครม.ก็จะสิ้นสุดลง แต่อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรี ก็สามารถรักษาการไว้ได้ จนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากนั้นจะมีการนำครม.เข้าเฝ้า ถวายสัตย์ปฏิญาณตน คาดว่าจะใช้ระยะเวลานานพอสมควรเป็นสัปดาห์ แต่ระหว่างนี้นายเศรษฐาก็ยังสามารถทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี รักษาการและปฏิบัติหน้าที่ได้ และสามารถมอบรักษาการนายกรัฐมนตรี ให้รองนายกรัฐมนตรีตามลำดับได้ แต่อย่างไรก็ดีเวลานั้นอาจจะทำให้การดำเนินการหลายอย่างสะดุดลงบ้าง เพราะบางอย่างต้องรอความชัดเจนในตัวผู้ทำหน้าเป็นรัฐมนตรีเข้ามาดำเนินงาน แม้ว่าจะมีครม.รักษาการก็ตาม
เมื่อไปดูในส่วนของแคนดิเดตที่เหลือในพรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 2 คน คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค และนายชัยเกษม นิติสิริ , พรรคภูมิใจไทย 1 คน คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค , พรรคพลังประชารัฐ 1 คน คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค , พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน คือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค โดยรายชื่อเหล่านี้สามารถถูกโหวตได้จากคนที่เป็นสส.ในสภา ซึ่งการโหวตครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากสว.แล้ว โดยตัวเลขของสส.พรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้มีอยู่ 315 เสียง โดยระดับแกนนำก็คือมากสุด พรรคเพื่อไทย 141 เสียง , พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง , พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง , พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงโดยทั้งหมดถือว่าคุมเสียงเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา ซึ่งตามกฎหมายแล้วสามารถนำเสนอบุคคลเหล่านี้ขึ้นมาโหวตเพื่อดำรงตำแหน่งนายกฯได้
สำหรับผลกระทบที่ตามมาที่หนีไม่พ้นก็อาจจะเป็นเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ถือเป็นผู้นำที่เดินทางไปโรดโชว์กับนานาชาติ ทำหน้าที่เชิญชวนนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่นายเศรษฐาถูกถอดถอนนั้นย่อมต้องกระทบความเชื่อมั่นต่อต่อนักลงทุนเหล่านี้ และบางโครงการที่นายเศรษฐากำลังเดินหน้าอยู่ตอนนี้อาจจะกระทบและสะดุดลง เนื่องจากต้องเปลี่ยนผู้นำแบบทันด่วน
เมื่อดูในมุมการเมืองที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มองว่าเรื่องของศาลตัดสินนายเศรษฐาจะพ้นการเป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่นั้น ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยฯ ที่ตลาดฯ รับรู้และถูกกดดันมาตลอดเกือบ 3 เดือนเต็ม จน UNDERPERFORM กว่าตลาดหุ้นโลก ซึ่งหลังจากนี้น่าจะกดดันตลาดหุ้นไทยจำกัด และในกรณีเลวร้ายคือ นายกฯ ถูกถอดถอน ตลาดหุ้นน่าจะถูกตีความในเชิงลบในช่วงเวลาสั้นๆ โดยเชื่อว่าสุญญากาศของรัฐบาล ไม่น่าจะใช้เวลานาน และแนวนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่น่าจะเปลี่ยน ซึ่งก็เพราะพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นกลุ่มเดิม แต่ถ้านายกฯ ไม่ถูกถอดถอน การดำเนินนโยบายต่างๆ ยังเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ และตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองในเชิงบวกมากกว่า
ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ ว่าหากนายกรัฐมนตรีไม่ถูกตัดสินพ้นจากตำแหน่ง อาจช่วยให้ตลาดปรับตัวกลับขึ้นมาได้บ้าง แต่หากนายเศรษฐา ต้องพ้นจากตำแหน่งก็จะเป็นลบกับตลาด ซึ่งดัชนีอาจลงไปต่ำากว่า 1288 จุด เพราะจะเกิด สูญญากาศทางการเมือง และโครงการ+นโยบาย ต่างๆ จะสะดุดลง
ทางด้านของ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ได้ประเมินว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญเรื่องคุณสมบัตินายกฯ เรื่องนี้มองจะเป็นบวกหลังถ้อยแถลงของศาล เนื่องจากความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นต่อทิศทางการเมือง เป็นปัจจัยหลักในสัปดาห์นี้ ทำให้โดยรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้มีแนวโน้มปรับขึ้นได้ในกรอบจากัด.