8 หุ้นไฟแนนซ์วิ่งคึก! ลุ้นแจกเงินสดแทนดิจิทัลวอลเล็ต หนุนลูกค้าคืนหนี้-ลด NPL
8 หุ้นไฟแนนซ์วิ่งคึก! หลัง “อุ๊งอิ๊ง” ย้ำชัดแถลงนโยบายใหม่ภายในก.ย.นี้ ไม่ล้มนโยบาย 10,000 บาท เหตุมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ วงในพรรคเพื่อไทยส่งซิกอาจเปลี่ยนจากแจกเงินดิจิทัลเป็น “เงินสด” หนุนลูกค้าผันเงินคืนหนี้ ช่วยลดภาระ NPL-ตั้งสำรอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19 ส.ค.67) ราคาหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์นำโดย บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ณ เวลา 10:35 น. อยู่ที่ระดับ 34.25 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 7.03% ราคาสูงสุด 34.25 บาท ราคาต่ำสุด 32.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 226.88 ล้านบาท
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ณ เวลา 10:41 น. อยู่ที่ระดับ 43.75 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 2.94% ราคาสูงสุด 43.75 บาท ราคาต่ำสุด 42.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 101.91 ล้านบาท
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ณ เวลา 10:43 น. อยู่ที่ระดับ 14.50 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 5.07% ราคาสูงสุด 14.60 บาท ราคาต่ำสุด 14.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 193.01 ล้านบาท
บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ณ เวลา 10:44 น. อยู่ที่ระดับ 4.98 บาท บวก 0.24 บาท หรือ 5.06% ราคาสูงสุด 5.05 บาท ราคาต่ำสุด 4.76 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6.16 ล้านบาท
บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS ณ เวลา 10:45 น. อยู่ที่ระดับ 116.00 บาท บวก 6.00 บาท หรือ 5.45% ราคาสูงสุด 116.50 บาท ราคาต่ำสุด 109.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 23.62 ล้านบาท
บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ณ เวลา 10:46 น. อยู่ที่ระดับ 14.30 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 6.72% ราคาสูงสุด 14.30 บาท ราคาต่ำสุด 13.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 230.93 ล้านบาท
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ณ เวลา 10:48 น. อยู่ที่ระดับ 7.85 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.97% ราคาสูงสุด 7.90 บาท ราคาต่ำสุด 7.55 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 22.58 ล้านบาท
บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ณ เวลา 10:49 น. อยู่ที่ระดับ 1.32 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.76% ราคาสูงสุด 1.33 บาท ราคาต่ำสุด 1.26 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 12.52 ล้านบาท
โดยวานนี้ (18 ส.ค. 2567) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ด้านนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงคำกล่าวต่อสื่อมวลชนว่า มีความตั้งใจที่จะผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ปัญหายาเสพติด ยกระดับระบบสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ และรวมถึงการผลักดัน Thailand Soft power อย่างต่อเนื่อง ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ต้น โดยจะร่วมงานกับทุกภาคส่วนเพื่อที่จะผลักดันนโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วง ขอให้ติดตามการแถลงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมช่วงเดือนกันยายนนี้
“ขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่นี้อย่างเต็มความสามารถโดยที่ไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่าง ทุกเพศ ทุกวัย ทุกความหลากหลาย ดิฉันมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทย ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินไทย เป็นพื้นที่ของโอกาส เป็นพื้นที่ที่คนไทยกล้ามีความฝัน กล้ามีความคิดสร้างสรรค์ และกล้ากำหนดอนาคตของตัวเอง”
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีกระแสข่าวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งให้ล้มโครงการดังกล่าวนั้น ขอยืนยันว่านายทักษิณไม่ได้สั่งให้ล้ม
“ปีที่แล้วที่เสนอนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เป็นการสังเคราะห์นโยบายมาอย่างดีแล้ว ช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมาย สภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป และเราจะต้องศึกษาและรับฟังความเห็นเพิ่มเติม และอยู่ในพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังด้วย สิ่งนี้ต้องทำต่อไป แต่เนื้อหารายละเอียดจะต้องชัดเจนและรับฟังความเห็นอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายคือการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งความตั้งใจนี้จะต้องอยู่ต่อแน่นอน” น.ส.แพทองธาร กล่าว
แหล่งข่าวจากทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า นางสาวแพทองธารจะมีการทบทวนและยกเลิกโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท หลังมีการหารือกับผู้ใหญ่ภายในพรรคเพื่อไทย (พท.) และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาระยะหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการยกเลิกโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แหล่งข่าวรายดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลนางสาวแพทองธารจะใช้วิธีแจกเงินสดแทน โดยเน้นที่กลุ่มเปราะบาง เพื่อลดภาระงบประมาณลง ที่สำคัญง่ายต่อที่มาของแหล่งเงิน ทั้งนี้คาดการณ์ว่ารายละเอียดของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่มีการแถลงวานนี้ (18 ส.ค.) ตามกระแสข่าว แต่จะมีการเปิดเผยรายละเอียดในวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
‘วายุภักษ์ใหม่’ เซ็กซี่กว่าเดิม
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานของกองทุนรวมวายุภักษ์ เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สรุปอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำและอัตราผลตอบแทนขั้นสูงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจะแจ้งให้นักลงทุนรายย่อยทราบรายละเอียดอีกครั้ง ผ่านหนังสือชี้ชวนการลงทุนช่วงเดือน ก.ย. 2567 นี้
“ผมมั่นใจว่าผลตอบแทนของกองทุนวายุภักษ์จะเซ็กซี่และจูงใจให้ลงทุนอย่างแน่นอน โดย 5 ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ รวมทั้งธนาคารออมสินเตรียมจะเข้ามาลงทุนในกองทุนวายุภักษ์แล้ว” ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว
สำหรับ 5 ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY รวมทั้งธนาคารออมสิน จะเข้าร่วมลงทุนในฐานะนักลงทุนสถาบันในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับนักลงทุนทั่วไปหรือรายย่อย
นอกจากนี้ ธนาคารทั้ง 6 แห่งยังจะเป็นตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุน 100,000-150,000 ล้านบาท หน่วยลงทุนละ 10 บาท ขั้นต่ำ 5,000 บาท โดยจะมีการระดมทุนเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ต่อผู้ลงทุนทั่วไป โดยล่าสุดกองทุนฯ มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการกองทุน
ส่วนแนวทางการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ใหม่นั้นจะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งแบบเชิงรุก (Active) และแบบเชิงรับ (Passive) โดยส่วนใหญ่จะลงทุนตราสารทุนในตลาดหุ้น เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีผลตอบแทนที่ดี มีความมั่นคง ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เบื้องต้นจะเปิดกว้างให้มีการลงทุนในหุ้น Small & Mid Cap ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีคะแนน ESG สูง เพื่อเปิดกว้างให้กับผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ ได้มีตัวเลือกในการเข้างลงทุนมากขึ้น จากเดิมมีข้อจำกัดการลงทุนเพียงแค่หุ้นในกลุ่มหุ้นบลูชิพที่อยู่ใน SET50 หรือ SET100 เท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้จะอยู่ช่วงจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แต่ไม่กระทบต่อแผนการขายหน่วยลงทุนกองทุนวายุภักษ์แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นนโยบายที่เดินหน้าไปแล้ว หลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
หุ้นไฟแนนซ์คึกรับแจกเงินสด
ผู้สื่อข่าวรายงานโดยอ้างอิงนักวิเคราะห์หลายแห่งมีความเห็นว่าหากรัฐบาลใหม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท มาเป็นแจกเงินสดเฉพาะกลุ่มเปราะบางจริง จะถือเป็นปัจจัยเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ ต่อหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ ไม่ว่าจะเป็น MTC, SAWAD, TIDLOR, SAK, AEONTS, JMT, SINGER, SGC เนื่องจากการเปลี่ยนจาการแจกเงินดิจิทัลมาเป็นเงินสด ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์รับเงินไม่ต้องติดเงื่อนไขในการนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยเหมือนกรณีของเงินดิจิทัล ทำให้เงินที่ส่วนหนึ่งหรืออาจเป็นส่วนใหญ่จะถูกนำไปชำระหนี้หรือรีไฟแนนซ์หนี้เดิม
กรณีดังกล่าวทำให้หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ลดแรงกดดันเรื่องหนี้เสียและการตั้งสำรองจะปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญนั่นหมายถึงตัวเลขกำไรสุทธิจะเฉดฉายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์จึงเป็นอีกกลุ่มที่ต้องติดตามนโยบายแจกเงินของรัฐบาลใหม่อย่างใกล้ชิด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า การได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างรวดเร็วเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยและจำกัดดาวน์ไซด์ แต่ดัชนีคงยังไม่เป็นเทรนด์ขาขึ้นทันที เพราะหลังจากนั้นยังต้องติดตามนายกฯ และครม.ชุดใหม่ สามารถสานต่อนโยบายหลักต่าง ๆ ของรัฐบาลชุดเดิม เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต และกองทุนวายุภักษ์ 1 ให้ชัดเจนก่อน แนะลงทุนหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จาก ESG เป็นหลัก
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นางสาวแพทองธาร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หลังจากนี้ตลาดรอการตั้ง ครม.ชุดใหม่ โดย KSS ประเมินประเด็นที่ตลาดกังวล ได้แก่ งบประมาณปี 2568 ล่าช้า รวมถึงนโยบายหลักต่าง ๆ ที่รัฐบาลชุดก่อนวางไว้เดินหน้าได้ต่อ โดยมีผลกระทบจำกัด, นโยบาย Digital Wallet ที่มีกระแสข่าวความไม่แน่นอน มองถ้าเปลี่ยนแปลง งบประมาณจะถูกจัดสรรมากระตุ้นการบริโภคในรูปแบบอื่น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้น ผสานมาตรการระยะยาว และกรณี Digital Wallet ไม่เดินหน้าจริง ด้านนโยบายการเงินไทย อาจมีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น จากเงินเฟ้อต่ำ และความเสี่ยงเงินเฟ้อจาก Digital Wallet คลายออกไป
โดยประเมินกรอบดัชนีใน 1 เดือน จะค่อย ๆ ฟื้นตัวสู่กรอบ 1,290-1,360 จุด สำหรับกลยุทธ์ เลือกลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์เชื่อว่าเดินหน้าต่อได้ แนะนำ KTB, PTT, AOT กลุ่ม Defensive ที่มีปัจจัยขับเคลื่อน สื่อสาร แนะนำ ADVANC, TRUE, INTUCH โรงพยาบาล แนะนำ BDMS โรงไฟฟ้า แนะนำ GULF และค้าปลีก แนะนำ CPALL และ CPAXT
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ฉากทัศน์การเมืองไทย หลังจากได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยฉากทัศน์ที่ 1) รัฐมนตรีทุกตำแหน่งยังคงเดิม น่าจะจัดตั้งครม.ใหม่ได้ภายใน 1 สัปดาห์ ภายใต้สัดส่วนครม.แต่ละพรรคเหมือนเดิมและทุกอย่างเดินหน้าต่อ ฉากทัศน์ที่ 2) สัดส่วนโควตารัฐมนตรี มีการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ คาดจะใช้เวลาในการจัดตั้งครม.นานขึ้นนอกจากว่าจะมีการพูดคุยเรื่องโควตาครม.ใหม่ จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ด้วย การเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์ต้องรอความชัดเจน และการแถลงนโยบาย
ในส่วนของผลกระทบหากมีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่สำคัญ เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต หากมีการยกเลิกสามารถปรับเปลี่ยนงบประมาณไปใช้โครงการอื่นได้ในกรอบวงเงินที่กำหนดไว้ ราว 4.5 แสนล้านบาท (1.65 แสนล้านบาท สำหรับงบปี 2567 และ 2.85 แสนล้านบาท สำหรับงบปี 2568) โดยมีการกำหนดวัตถุประสงค์เป็น “สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจหากมีการยกเลิกโครงการดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่ 2.6-3% เนื่องจากไม่ได้ถูกรวมในกรณีฐานอยู่แล้ว
ขณะที่นโยบายอื่น ๆ น่าจะต้องมีการกลับมาปรับเปลี่ยนและ “ลำดับความสำคัญ” กันใหม่ ตามทิศทางของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยเฉพาะที่เป็นประเด็นล่าสุดอย่าง Entertainment complex ที่พรรคร่วมอย่างภูมิใจไทย มีการแถลงจุดยืนคัดค้านในช่วงก่อนหน้า ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน จากภาพรวมตลาดคาดจะถูกกดดันจากภาวะความไม่แน่นอนแค่ช่วงสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ตลาดอาจรอดูความชัดเจนของการจัดตั้งครม.รวมทั้งภาพรวมนโยบายที่อาจมีการปรับเปลี่ยน (เช่น ลดวงเงินดิจิทัลวอลเล็ต)
จึงแนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้น เพื่อเล่นรีบาวด์ช่วงครึ่งหลังของเดือนนี้ ตามแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดฉากทัศน์ หนึ่งหรือสอง โดยแนะนำหุ้นในโผหุ้นวายุภักษ์ บวก Thai ESG หุ้นปันผลดี ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น CPALL, SCB, KTB, PTT, AOT และเพิ่มการเก็งกำไรหุ้น Alpha ที่พื้นฐานกำไรแกร่ง และ Bottom-out มีสัญญาณเติบโตในครึ่งหลังของปี 2567 เช่น AAV, PLANB, CK และ DOHOME
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงประกาศเพื่อขยายขอบเขตการลงทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน รวม 5 ฉบับ โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2567 ซึ่งมีผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งหรือแก้ไขโครงการจัดการเพื่อลงทุนตามขอบเขตการลงทุนใหม่ที่กว้างขึ้นได้
สำหรับการลงทุนในกองทุน Thai ESG สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท/คน/ปี สำหรับการซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2567 ถึง 31 ธ.ค. 2569 และต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะประเมินผลของการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในครั้งนี้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินมาตรการ 3 ปี