“เข็มนาฬิกา” ประเทศไทย เริ่มหมุนอีกครั้ง…
“เข็มนาฬิกา” ประเทศไทย เริ่มหมุนอีกครั้ง...
การปรากฏตัวของ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อหน้าสาธารณชน พร้อมกับการแสดงวิสัยทัศน์การแก้ไขปัญหา “เศรษฐกิจไทย” ครั้งแรกในรอบ 17 ปี กลายเป็นภาพที่ทุกคนในสังคมต่างจับจ้องการกลับมาครั้งนี้ ชั้นเชิงของอดีตผู้นำประเทศอย่าง “นายทักษิณ” จะยังเหมือนอยู่หรือไม่
เพราะหากย้อนไปก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “นายทักษิณ” เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ก่อนจะมาโลดแล่นในวงการเมือง จนพรรคไทยรักไทยได้รับเสียงจากประชาชนอย่างถล่มทลาย จากสโลแกน “คิดใหม่ ทำใหม่” และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่อยู่ครบวาระ 4 ปี
ขณะเดียวกันในเวลานั้นต้องยอมรับเป็นยุคเฟื้องฟูที่เกิดการพัฒนาประเทศ เพราะโครงการพรรคไทยรักไทยเต็มไปด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น พักชำระหนี้ให้เกษตรกรรายย่อยเป็นเวลา 3 ปี จัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชุนเมืองแห่งละ 1 ล้านบาท และจัดตั้งธนาคารประชาชน เพื่อกระจายโอกาสเข้าถึงเงินทุนของผู้มีรายได้น้อย โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่สุดท้ายแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมจากประชาชน ชีวิตก็ต้องมาสะดุดลงเพราะถูกการรัฐประหารในปี 2549 ทำให้เส้นทางของนายทักษิณ รวมถึงการเห็นภาพผู้นำที่ “กล้าคิด กล้าทำ” ได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ในเวลานั้นเป็นต้นมา
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แสดงวิสัยทัศน์แบบเดี่ยวไมค์โครโฟนของ “นายทักษิณ” จึงมีผู้คนมาหน้าหลายตาที่ล้วนเป็นแถวหน้าด้านธุรกิจของเมืองไทย รวมถึงบรรดาหน่วยงานภาครัฐและนักการเมืองมาร่วมรับฟัง มุมมองของ “นายทักษิณ” ที่มองปัญหาของประเทศไทยจากภายนอก สะท้อนไปยังรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ลูกไม้ใกล้ต้นของ “นายทักษิณ”
และแล้วสิ่งที่ทุกคนได้ฟังจากปากของ “นายทักษิณ” กับภาพสะท้อนมุมมองปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เพราะสิ่งที่ “นายทักษิณ” คิดและนำเสนอล้วนเป็นการสะท้อนที่แก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและมีความเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือน การแก้ไขปัญหาความเหลือมล้ำด้านภาษี การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชา
ขณะเดียวกันหลายเรื่องที่เคยเป็นแนวคิดในรัฐบาลชุดก่อนได้ถูกตอกย้ำให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต การจัดตั้งเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ หรือ โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่มีอุปสรรคในการขับเคลื่อน ได้ถูกอธิบายความให้เข้าใจที่มาที่ไป และจุดหมายปลายทางของการแก้ไขปัญหาได้เข้าใจมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ถูกสะท้อนภาพความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ผ่านตลาดทุนที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 13.84 จุด ปิดที่ 1,354.87 จุด ด้วยการปริมาณการซื้อขายสุทธิ 62,545 ล้านบาท ตอบความชัดเจนทางการเมือง และความหวังที่จะเห็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยของรัฐบาลใหม่ชุด
ในมุมมอง นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.กรุงศรี ( KSS) มองว่า ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจที่ขาดหายไป น่าจะมีความคาดหวังเชิงบวกมากขึ้น จากการให้วิสัยทัศน์คุณทักษิณ ฉายแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจรอบด้าน ในระยะสั้น กลาง และยาว โดยแนวทางนโยบายหลัก ที่น่าจะเร่งขับเคลื่อน คือ Digital Wallet , การแก้หนี้ครัวเรือน Entertainment Complex , Data Center จะเป็นตัวแปรหนุนเศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัวเร่งขึ้น หนุน SET ฟื้นตัวต่อ หุ้นนำ คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากทิศทางนโยบายหลัก
กลยุทธ์ KSS เชื่อว่า SET มีโอกาสตอบรับทางบวกต่อวิสัยทัศน์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ในงาน Vision for Thailand จากมุมมองเชิงบวกที่หากคณะรัฐมนตรีนำปรับใช้ เชื่อว่าจะหนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นกว่าปัจจุบัน โดย บล. KSS ได้ให้น้ำหนักเรื่องการที่พร้อมขับเคลื่อนระยะสั้น – กลาง ซึ่งเวลาของรัฐบาลในปัจจุบันที่เหลือราว 3 ปี ที่จะเกิดขึ้นได้จริง
สอดคล้อง บล.ฟิลลิป ที่คาด SET ยังคงขึ้นต่อ หลังจากที่นายทักษิณได้แสดงว่าวิสัยทัศนแล้ว เพราะเป็นการสร้างเชื่อมั่นให้นักลงทุน และจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุน พร้อมกันนี้จึงมองจะสร้าง Sentiment บวกให้หุ้นในกลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว ก่อสร้าง ขนส่ง อาหาร ธนาคารนิคม โรงไฟฟ้า และ การเงิน
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง “นายทักษิณ” ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ จึงเป็นเหมือนเข็มนาฬิกาประเทศไทย ได้เริ่มหมุนอีกครั้ง แม้ “นายทักษิณ” จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการบริหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “นายทักษิณ” ยังไม่ทิ้งลายในการเป็นนักบริหารและนักการเมืองที่กล้าคิดริเริ่มสิ่งใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานรัฐบาลชุดใหม่ให้มีผลงานเข้าตากรรมการ กับการเรียกความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถนำไปต่อกรกับกระแสความนิยมของคู่แข่งทางการเมืองนับจากนี้