ADVANC-DELTA นำทีมหุ้น “บิ๊กแคป” บวกคึก! โบรกชี้เป้าฟันด์โฟลว์ รับไทยแลนด์โฟกัส

ADVANC-DELTA-KTB นำทีมหุ้น “บิ๊กแคป” บวกคึก! โบรกชี้เป้าฟันด์โฟลว์ รับไทยแลนด์โฟกัสเริ่มวันนี้ “เมย์แบงก์” ชี้หุ้นที่เข้าร่วมให้ข้อมูลในงานจากสถิติมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 3.9% ด้านบล.กรุงศรี เผยนักลงทุนต่างชาติเข้าสะสมหุ้นไทยต่อเนื่อง พบหุ้นในกลุ่มเทคฯ บริโภค ไฟแนนซ์ และพลังงาน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมแนะ 9 หุ้นที่เป็นเป้าฟันด์โฟลว์ DELTA, ADVANC, CPALL, CPAXT, BBL, KTB, KBANK,GULF และ PTT


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(28 ส.ค.67) ราคาหุ้นบิ๊กแค๊ปบวกคึกนำโดย บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ณ เวลา 15:03 น. อยู่ที่ระดับ 106.50 บาท บวก 4.00 บาท หรือ 3.90% ราคาสูงสุด 108.00 บาท ราคาต่ำสุด 102.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 308.36 ล้านบาท

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ณ เวลา 15:06 น. อยู่ที่ระดับ 250.00 บาท บวก 3.00 บาท หรือ 1.21% ราคาสูงสุด 252.00 บาท ราคาต่ำสุด 247.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,633.28 ล้านบาท

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ณ เวลา 15:08 น. อยู่ที่ระดับ 18.70 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.08% ราคาสูงสุด 18.80 บาท ราคาต่ำสุด 18.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 405.83 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ณ เวลา 15:27 น. อยู่ที่ระดับ 142.50 บาท บวก  0.50 บาท หรือ 0.35% ราคาสูงสุด143.00 บาท ราคาต่ำสุด 141.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 909.87 ล้านบาท

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ณ เวลา 15:25 น. อยู่ที่ระดับ 60.00บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.42% ราคาสูงสุด 60.25 บาท ราคาต่ำสุด 59.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 480.66 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ส.ค.) เป็นวันแรกของงาน Thailand Focus 2024 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 ส.ค. 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กองทุนทั้งในและต่างประเทศได้พบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับบริษัทจดทะเบียนโดยตรง จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบริษัทเข้าร่วมงานครั้งนี้รวม 113 บริษัท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า จากสถิติย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2564-2566) พบว่าช่วงที่จัดงาน Thailand Focus ดัชนีหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่เข้าร่วมงานให้ผลตอบแทนบวกเฉลี่ย 3.9% ถือว่าปรับตัวดีกว่า หรือ Outperform ตลาด สำหรับแรงซื้อมาจาก 2 นักลงทุนกลุ่มหลัก คือนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิเฉลี่ย 2,160 ล้านบาท และต่างชาติที่ซื้อสุทธิเฉลี่ย 12,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าในปี 2567 นี้ ประวัติศาสตร์มีโอกาสซ้ำรอย เนื่องจากประเด็นทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลาย กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) จะขยายตัว 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยซื้อขายบน P/E Ratio ปี 2567 ที่ต่ำเพียง 13-14 เท่า

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สัญญาณจากนักลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ เริ่มสลับมาซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องมากขึ้น เป็นสัญญาณบวกเบื้องต้นต่อภาวะค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ US Bond Yield ลดลงต่อเนื่อง เป็นภาพบวกต่อตลาด Laggard/Value ที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นสอดคล้องกัน ในตลาดอาเซียน และเริ่มปรับตัวได้ดี (Outperform) กว่าเอเชียเหนือ นับจากต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้พบสัญญาณการทยอยถือครองหุ้นไทยเพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ (F-Holding) ล่าสุด (26 ส.ค.) เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 0.42%, บริโภคเพิ่มขึ้น 0.1%, การเงินเพิ่มขึ้น 0.09%, พลังงานเพิ่มขึ้น 0.01%

ดังนั้น กลยุทธ์แนะนำหุ้นเด่นในกลุ่มที่ต่างชาติมีการถือครองเพิ่มขึ้น กลุ่มเทคโนโลยี เน้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC กลุ่มบริโภค เน้น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT

กลุ่มการเงิน เน้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และกลุ่มพลังงาน เน้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT

นายสุเชษฐ์ สุขแท้ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายมีเดียมาร์เก็ตติ้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด หรือ ASL คาดการณ์ว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยอาจแกว่งตัว แต่ช่วงปลายปีนี้จะสามารถปรับตัวในทิศทางที่ดีได้ ส่วนประเด็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์หรือไม่นั้น มองว่าจะถูกกระทบไม่มากนัก แต่จะกระทบทางอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่ อาทิ การปล่อยกู้ การปล่อยสินเชื่อ และสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น

ทั้งนี้ กลุ่มไฟแนนซ์จะมีทิศทางที่ดีช่วงปลายปีไปจนถึงปีหน้า ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้เห็นภาพชัดเจนคือผลการดำเนินงานงวดถัดไป ซึ่งจากการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมา มีทิศทางที่ไม่ดี อย่างไรก็ตามหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงจะส่งผลให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น

ส่วนในทิศทางของเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เริ่มทยอยไหลเข้ามา ดังนั้นแนะนำให้จับตากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยคาดการณ์ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ และอาจส่งผลให้กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้างจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และมองว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมุ่งเน้นการกระตุ้นภาคการบริโภคมากขึ้น

แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ชินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เผยว่า ได้ทำการคัดกรองหุ้น 3 ธีม ที่คาดว่ากำไรในครึ่งปีหลังเติบโตเด่น ทั้งจากครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อดักซื้อ เพราะถือเป็นเป้าหมายนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุน ได้แก่ 1.หุ้นกำไรครึ่งปีหลังเติบโตจากครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาลงลึกหวังฟื้นเร็ว ได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO

2.หุ้นกำไรครึ่งปีหลังเติบโตจากครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน พื้นฐานเด่นแกร่งกว่าตลาด ได้แก่ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT

และ 3.หุ้นกำไรครึ่งปีหลังเติบโตจากครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน รับกระแสฝนตกหนัก ได้แก่ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO, บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP

“ตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน (27 ส.ค. 2567) ตลาดหุ้นไทย -18.8% ยังแลกการ์ดกว่าตลาดหุ้นอินโดฯ +10.2% และฟิลิปปินส์ +6.0% อยู่มาก นอกจากนี้ตลาดฯ ยังซื้อขายบน P/E ที่ 14.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 15.66 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดฯ ซื้อขายบน P/E ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว สรุปทั้งตลาดหุ้นไทยที่แลกการ์ดกลุ่ม TIP และ P/E ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย รวมถึงยังมีแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยไทยที่ช้ากว่าเฟด หนุนให้ฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ต่อ” บล.เอเซีย พลัส ระบุ

Back to top button