3BBIF-TFFIF-DIF วิ่งต่อ! เป้าเม็ดเงิน “วายุภักษ์” เข้าลงทุนรับยีลด์สูง

3BBIF-TFFIF-DIF วิ่งต่อ! รับวายุภักษ์ หนึ่ง ลั่น! พร้อมขนเงินลงทุน 1.5 แสนล้านบาท ลุยซื้อหุ้นไทยเข้าพอร์ตทันที 1 ต.ค.นี้ ก่อนเข้าเทรด 7 ต.ค. 67 หนุนยีลด์สูงเข้าพอร์ต สร้างผลตอบแทนสูงสุด 9%


ผู้สื่อข่าวรายงาน (10 ก.ย.67) ว่า ณ เวลา 10:13 น. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF อยู่ที่ระดับ 9.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท หรือ 4.00% มีราคาสูงสุด 9.10 บาท หรือราคาต่ำสุด 8.85 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 107.88 ล้านบาท

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต สามบีบี หรือ 3BBIF อยู่ที่ระดับ 5.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.79% มีราคาสูงสุด 5.75 บาท หรือราคาต่ำสุด 5.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 94.71 ล้านบาท

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ TFFIF อยู่ที่ระดับ 6.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือ 2.29% มีราคาสูงสุด 6.70 บาท หรือราคาต่ำสุด 6.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 37.55 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา ตอบรับ นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เผยว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง พร้อมเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่ารวม 1-1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็น วงเงิน 3-5 หมื่นล้านบาท เสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป วงเงินที่เหลือ 100,000-120,000 ล้านบาท เสนอขายให้นักลงทุนสถาบัน โดยเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศจองซื้อวันที่ 16-20 ก.ย.นี้ ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท เริ่มต้นที่ 1,000 หน่วย หรือเท่ากับ 10,000 บาท พร้อมแผนนำกองทุนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 7 ต.ค. 2567

ส่วนกลยุทธ์ลงทุนในส่วนของเงินลงทุน 100,000-150,000 ล้านบาท จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยทันที ในกลุ่มหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์การลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 โดยไม่มีกรอบระยะเวลาในการนำเงินเข้าลงทุน รวมถึงการถือเงินสดรอ โดยกองทุนฯ จะใช้การจับจังหวะเข้าลงทุนเป็นหลัก มีเป้าหมายหลักเข้าลงทันทีในหลักทรัพย์คุณภาพดีมีการเติบโตสูง ซึ่งช่วงแรกเป็นกองแอ็กทีฟฟันด์ จึงเน้นหุ้นไทยเป็นหลัก ขณะเดียวกันกองทุนฯ ได้เปิดโอกาสเข้าลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (อินฟราสตรักเจอร์ฟันด์) กองทุนรีท กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มีสภาพคล่องและผลตอบแทนเงินปันผลสูงด้วย

สำหรับกองทุนอินฟราฯ กองทุนรีท และกองทุนอสังหาฯ จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้กองทุนฯ สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 9% ขณะเดียวกันกองทุนฯ เปิดทางให้เข้าลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูง เพื่อใช้รับมือในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวน ทำให้กองทุนสามารถรักษาผลตอบแทนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 3% ส่วนผลตอบแทนสูงถึง 9% เจอความผันผวนของตลาดหุ้นเข้ามากระทบ จะไม่สะท้อนไปในหน่วย NAV ของนักลงทุน เนื่องจากหน่วยลงทุนประเภท ข. จะเป็นคนรับความเสี่ยงนี้ไปเอง ทั้งนี้ มีมุมมองบวกต่อหุ้น DIF, 3BBIF, TFFIF คาดการณ์ได้รับประโยชน์จากการลงกองทุนส่วนหนึ่ง หนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้า

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า DIF มองได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรที่กําลังเปลี่ยนเป็นช่วงขาลง และราคาหน่วยลงทุน DIF ปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่ม REIT ขณะที่คาดให้ Dividend Yield ปี 67 ถึง 11.5% สูงกว่า ค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 8.6%

อีกทั้งมองความเสี่ยงที่ TRUE (ถือ DIF อยู่ 20.6%) จะขายหน่วยลงทุน DIF ออกมาอีกอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากฐานะการเงินดีขึ้นชัดเจนหลังควบรวมกิจการ

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกองทุน REIT ของไทย เนื่องจาก valuation อยู่ในระดับที่ถูก (ส่วนต่างผลตอบแทนเงินปันผลเมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสูงกว่าค่าเฉลี่ย)

รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง โดยคาดว่า SETREIT จะได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงถึง 2 เด้ง ได้แก่ กำไรจากการปรับตัวของราคาหุ้น (capital gain) (ความสัมพันธ์เชิงลบ กับผลตอบแทนพันธบัตร) และต้นทุนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง โดยทางฝ่ายวิจัยชอบ 3BBIF แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท มากกว่า DIF แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.40 บาท เนื่องจาก 3BBIF มี IRR ที่สูงกว่า (3BBIF อยู่ที่ 7.9% เทียบกับ DIF ที่ 7.5%) และมีดาวน์ไซด์ที่จำกัด

Back to top button