PRI ปิดบวก 9% นิวไฮรอบ 3 เดือน ลุ้นรายได้ปีนี้ 2.2 พันล้าน ทยอยบุ๊กแบ็กล็อก 939 ล้าน

PRI ปิดบวก 9% ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังโตรับไฮซีซั่นตลาดอสังหาฯ หนุนรายได้ปีนี้เข้าเป้า 2,250 ล้านบาท โชว์แบ็กล็อกเฉียด 1 พันล้าน ทยอยรับรู้ครึ่งปีหลัง 40-45%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 ก.ย.67) ราคาหุ้น บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 12 บาท บวก 1 บาท หรือ 9.09% สูงสุดที่ระดับ 12 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46.84 ล้านบาท โดยราคาหุ้นทำจุดสูงสุดอีกครั้งในรอบ 3 เดือน นับตั้งแต่ราคาปิดที่ระดับ 12 บาท เมื่อวันที่ 28 พ.ค.67

ด้าน นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRI เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 67 จะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก ที่มีรายได้รวม 791.70 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงฤดูการสร้างรายได้ โดยธุรกิจของ PRI เป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ และในช่วงไตรมาส 3-4 นั้น จะเป็นช่วงที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ และเริ่มทยอยส่งมอบในตลาดอสังหาฯ มากขึ้น (เป็นไฮซีซั่นของตลาดอสังหาริมทรัพย์) ดังนั้น ในปี 67 บริษัทมั่นใจรายได้จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 2,250 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,926.08 ล้านบาท

โดยล่าสุดบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) รวมมูลค่า 939 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ หรือบริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ประมาณ 76%, กลุ่มกลางน้ำ หรือบริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) ประมาณ 21% และกลุ่มปลายน้ำ หรือบริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) ประมาณ 3% โดย Backlog ทั้งหมดจะทยอยรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ประมาณ 40-45% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัด ๆ ไป

สำหรับในช่วงไตรมาส 3/67 บริษัทเน้นขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ และสร้างโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ โดยการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มปลายน้ำ หรือบริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) ด้วยการขยายไปที่กลุ่ม B2C คือกลุ่มลูกค้า End User (เอ็น ยูสเซอร์) ซึ่งเป็นผู้ใช้จริงให้มากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมองว่าลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้บริษัท

ขณะที่บริษัทจะรุกขยายตลาดราชการ โดยการรับบริหารงานระบบ ซึ่งปัจจุบันมี 6 สัญญา มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท และบริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานต่อเนื่อง คาดว่าจะได้มาเข้ามาบ้าง อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังมีการเติบโตสูง จึงถือเป็นโอกาสและเป็นตลาดที่บริษัทจะมุ่งขยายเข้าไปเพิ่ม

ส่วนทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 67 ไม่ค่อยจะโดดเด่น และไม่ค่อยจะหวือหวามากนัก แต่บริษัทได้มีการปรับตัวและปรับแผนการดำเนินงานมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ยากลำบากนี้ โดยบริษัทได้ปรับสัดส่วนฐานลูกค้า ด้วยการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ในกลุ่ม B2C และสร้างโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ด้วย

นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันประชาชนมีความเข้าใจในเรื่องของประกันภัยมากขึ้น เป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะบริษัทมองเห็นช่องว่างในการเข้าไปในตลาดนี้ ซึ่งด้วยฐานลูกค้าที่ PRI มีอยู่ในมือจำนวน 45,000 ครอบครัว ถือเป็นโอกาสในการจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และผลประโยชน์ให้กับลูกค้าได้ ถือเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ

ความได้เปรียบของเรา คือ การที่เราเป็นบริษัทในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ทำให้ Ecosystem เรามีความเข้มแข็ง เรามีคู่ค้า มีพันธมิตร อยู่มาก ซึ่งทุกธุรกิจล้วนจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานประกันภัย เราจะใช้ความได้เปรียบนี้มาสานต่อธุรกิจนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม PRI วางเป้าหมายจะเป็น Service Tech (เทคโนโลยีการบริการ) แบบครบวงจร ดังนั้น เราจึงมุ่งไปทางเทคโนโลยีเป็นหลัก เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และการเป็นแพลตฟอร์ม (platform) ให้บริษัทสามารถเสนอขายบริการให้ถึงมือลูกค้าได้ง่ายขึ้น” นายสุรินทร์ กล่าว

Back to top button