STA นำทีม “หุ้นยาง” วิ่งคึก! โบรกชี้ไตรมาส 3 พลิกกำไร-EUDR หนุน
STA นำทีมกลุ่มยางบวกคึก โบรกชี้งบ STA ไตรมาส 3 พลิกกำไรรับราคาขายยางพุ่ง ฟาก NER เดินหน้าตั้งโรงงานไอวอรีโคสต์ 1 พันล้าน เจาะฐานลูกค้ายุโรป-สเปน เป้าปีนี้รายได้ทะยาน 28,000 ล้านบาท รับแรงหนุนราคายางพุ่ง-ส่งออกยาง EUDR ย้ำปริมาณขายปีนี้ 450,000 ตัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ก.ย.67) ณ เวลา 10:07 น. ราคาหุ้น บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA อยู่ที่ระดับ 25 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 3.73% สูงสุด 25.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 24.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 101.30 ล้านบาท
บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH อยู่ที่ระดับ 3.92 บาท บวก 0.18 บาท หรือ 4.81% สูงสุดที่ระดับ 3.94 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12.89 ล้านบาท
บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB อยู่ที่ระดับ 1.32 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.76% สูงสุดที่ระดับ 1.33 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.31 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.95 ล้านบาท
บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER อยู่ที่ระดับ 5.50 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.85% สูงสุดที่ระดับ 5.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.45 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.16 ล้านบาท
ด้านบล.หยวนต้า จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ คาดการณ์กำไรปกติไตรมาส 3/67 ของ STA อยู่ที่ 886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.1% จากไตรมาสก่อน และพลิกจากขาดทุนปกติ 313 ล้านบาท ในไตรมาส 3/66 จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับดีขึ้นตามราคายาง SICOM และปริมาณขายยาง EUDR ที่สูงขึ้น ประกอบกับธุรกิจถุงมือยางที่โตต่อ โดย EU ออกมายืนยันอีกครั้งในการเดินหน้าบังคับใช้กฎ EUDR เต็มรูปแบบตามกำหนดการ ช่วยคลาย Overhang หลักของ STA คาดการณ์รายได้ชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3/67 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ “เกาะติด เส้นทางธุรกิจโต” จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจว่า ล่าสุด NER มีการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยเตรียมลงทุนก่อสร้างโรงงานประเทศไอวอรีโคสต์ ที่ปัจจุบันคณะกรรมการบริหารอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทย่อยเรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการติดต่อกับหน่วยงานรัฐ หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนก่อสร้างโรงงานดังกล่าว 39 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท) มีกำหนดเริ่มก่อสร้างโรงงานปี 67 และแล้วเสร็จต้นปี 69 จะผลิตและส่งออกเป็นยาง EUDR ไปยังประเทศทางฝั่งยุโรปและสเปน คาดว่าปี 69 จะมียอดขายเข้ามากกว่า 80,000 ตัน
สำหรับปี 67 ถือเป็นปีที่ดีของธุรกิจยางพารา และเป็นปีที่ดีของ NER เนื่องจากราคายางปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปีจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้ซัพพลายยางออกมาสู่ระบบน้อย โดยบางช่วงดันราคาขายขึ้นไปสูงกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัม (เป็นราคาที่ธุรกิจปลายทางรับได้ยาก)
ขณะที่ปัจจุบันราคาขายยางพาราเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลดีทั้งระบบตั้งแต่เกษตรกรที่ปลูกยางพารา (ต้นน้ำ) NER (กลางน้ำ) และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากยางพารา (ปลายน้ำ) คาดว่าราคายางพาราน่าจะยืนระดับ 70-80 บาทต่อกิโลกรัม ลากยาวไปอีก 3-5 ปี แต่มองว่าราคายางพาราระดับ 100 บาทต่อกิโลกรัม จะเป็นผลเสียต่ออุตสาหกรรม แต่อาจทำให้ผู้ซื้อปลายทางเปลี่ยนสูตรผลิต หรือหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทนได้
ทั้งนี้ ณ เดือนก.ย. 67 บริษัทมีคำสั่งซื้อ (Order) ล่วงหน้าครอบคลุมยาวไปถึงไตรมาส 1/68 แล้ว แต่ปกติในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี NER จะเหลือออเดอร์ไว้ 2-3% หรือประมาณ 10,000 ตัน เพื่อรองรับออเดอร์เร่งด่วนในช่วงปีใหม่ในไทยและจีน ซึ่งออเดอร์ส่วนนี้จะมีความสามารถในการทำกำไร (มาร์จิ้น) ค่อนข้างสูง
สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปี 67 เป้าหมายรายได้จากการขายจะอยู่ที่ 28,000 ล้านบาท และมีโอกาสที่จะทำได้เกินเป้าหมาย เมื่อเทียบกับปี 66 ที่มีรายได้รวมประมาณ 25,000 ล้านบาท และมีปริมาณการขายในปี 67 อยู่ที่ 450,000 ตัน (ซึ่งจะเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางมาตรฐานสหภาพยุโรป (อียู) ที่เริ่มบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ประมาณ 45,000 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 10%) ส่วนกำไรสุทธิในปี 67 น่าจะเป็นไปแนวทางเดียวกันกับรายได้จากการขาย ซึ่งจะบวกหรือลบตามสถานการณ์ค่าเงินบาท ต้องรอลุ้นดูว่าจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All time high) ได้หรือไม่ โดยปัจจุบัน NER มีกำลังการผลิต 510,000 ตัน
“เมื่อต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง EUDR ให้ลูกค้าจีนไปแล้ว 3,000 ตัน และปัจจุบันมีออเดอร์ยาง EUDR ยาวถึงเดือนธ.ค.67 แล้ว คาดว่าทั้งปี 67 จะส่งออกยาง EUDR แตะ 45,000 ตัน และตั้งเป้าหมายปี 68 ส่งออกยาง EUDR แตะ 100,000 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% ของปริมาณการขายทั้งหมดของบริษัท และมีมาร์จิ้นมากกว่าเดิม 4-5%” นายชูวิทย์ กล่าว
ส่วนปี 68 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากการขายเติบโต 10-15% จากปี 67 และตั้งเป้าหมายยอดขายปี 68 แตะ 500,000 ตัน โดยต้นปี 68 จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาอีก 50,000 ตัน ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตรองรับกว่า 560,000 ตัน เพียงพอต่อการรองรับออเดอร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง NER เน้นดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG และ CSR
ด้านธุรกิจแผ่นปูรองนอน (ปศุสัตว์/มนุษย์/อื่น ๆ) บริษัทมองว่าจะเป็นอีกธุรกิจเรือธงในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี (ปี 69) จะมีรายได้ 500-1,000 ล้านบาท จากปี 67 มีรายได้หลักสิบล้านบาท เนื่องจากปี 67 เป็นปีที่ทำการตลาด และมีการส่งสินค้าทดลองให้ฟาร์มหมูและวัวในประเทศไทยทุกราย หรือบริษัทห้างร้าน และขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ในมนุษย์ด้วย เช่น แผ่นกันลื่น หรือกันกระแทก เป็นต้น