3 หุ้น “เรดาร์วายุภักษ์” วิ่งคึก! โบรกย้ำเม็ดเงินกองทุนช่วยจำกัด “ดาวน์ไซด์” ดัชนี

3 หุ้นเป้าหมาย “วายุภักษ์” บวกคึก โบรกฯ ย้ำเม็ดเงินจากกองทุนฯ ช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ของดัชนี พร้อมเปิดโผ 6 หุ้นเป้าวายุภักษ์ฯ ราคา Outperform ต่อเนื่อง และอีก 5 หุ้นในกลุ่ม Laggard ด้าน ASPS คาดไตรมาส 4/67 ดัชนีแตะ 1,523 จุด แนะกลุ่มหุ้น ESG Rating สูง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 ต.ค.67) ณ เวลา 12:01 น. ราคาหุ้นธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB อยู่ที่ระดับ 21 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.48% สูงสุดที่ระดับ 21.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 20.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 633.92 ล้านบาท

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB อยู่ที่ระดับ 1.88 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 0.53% สูงสุดที่ระดับ 1.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.87 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 200.57 ล้านบาท

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM อยู่ที่ระดับ 23.40 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.18% สูงสุดที่ระดับ 23.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 23.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 246.44 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด ระบุว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่เปิดซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2567 โดยใช้ชื่อย่อ VAYU1 ถือเป็นปัจจัย “บวก” รวมถึงแรงหนุนจากเม็ดเงินของกองทุนรวมวายุภักษ์จะช่วยจำกัด “ขาลง” หรือ Downside ของดัชนีหุ้นไทย หนุนให้ปรับขึ้นต่อได้ สำหรับหุ้นแนะนำ 6 หุ้นเด่นที่เป็นเป้าหมายของกองทุนรวมวายุภักษ์ และคาดราคาหุ้น Outperform (หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง) ต่อเนื่อง ได้แก่

1.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ราคาเป้าหมาย 24 บาท มองเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคารฯ มี ESG rating ระดับ AAA ได้ประโยชน์มากสุดจากการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ 13% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯ พร้อมให้ปันผลระดับ 6%

2.ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ราคาเป้าหมาย 2.3 บาท ESG rating ระดับ AA คาดกำไรโต 14% ในปี 2567 และปี 2568 เติบโตจากสำรองที่แข็งแกร่ง การควบคุมต้นทุนได้ดี และผลประโยชน์ทางภาษี พร้อมให้ปันผลสูงระดับ 6.7% ปีนี้ และ 7.6% ปี 2568

3.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ราคาเป้าหมาย 53 บาท ESG rating ระดับ AAA คาดกำไรฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง จากแนวโน้ม GRM ที่สูงขึ้น และความต้องการที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว ขณะที่ระยะสั้นได้ผลบวกจากความตึงเครียดตะวันออกกลาง โดยมีโอกาสที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ

4.บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ราคาเป้าหมาย 6.3 บาท ESG rating ระดับ AAA ยอด Presales เร่งตัวขึ้นจากการขายที่ดิน Big-lot 400 ไร่ในไตรมาส 3/2567 มีโอกาสได้ Big-lot อีก 400-600 ไร่ที่อยู่ในระหว่างเจรจา ขณะที่ภาพรวมยังได้ประโยชน์จาก FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) ที่ไหลเข้าไทยต่อเนื่องจากการกระจายความเสี่ยงด้านฐานการผลิตออกจากจีน

5.บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาเป้าหมาย 88 บาท ESG rating ระดับ A ได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งการตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้น และการแจกเงิน 10,000 บาทช่วยหนุนกำไรเร่งตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงยังเป็นปัจจัยหนุนอัตรากำไรสูงขึ้นอีกด้วย

6.บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ราคาเป้าหมาย 11 บาท ESG rating ระดับ AA มองเป็น laggard play ที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก ขณะที่กำไรเติบโตต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของผู้โดยสารและผู้ใช้ทางด่วน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ได้คัดเลือก 5 หุ้นที่ Laggard (หุ้นที่ราคายังไม่ปรับขึ้นมาก) และเป็นเป้าหมายของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU 1) ได้แก่

1.บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ราคาเป้าหมาย 20.8 บาท มี Rating ที่ระดับ AA คาดอัตราการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 17% มีอัพไซด์ 24%

2.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาเป้าหมาย 27.7 บาท มี Rating ที่ระดับ AAA คาดอัตราการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 19% มีอัพไซด์ 20%

3.บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ราคาเป้าหมาย 39.5 บาท มี Rating ที่ระดับ AAA อัตราการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 15% มีอัพไซด์ 17%

4.บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ราคาเป้าหมาย 12.6 บาท มี Rating ที่ระดับ AA มีอัตราการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 8% มีอัพไซด์ 19%

5.บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ราคาเป้าหมาย 39.1 บาท มี Rating ที่ระดับ AA อัตราการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 12% อัพไซด์ 36%

ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2567 อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยดัชนีมีโอกาสเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,523 จุด รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานและสภาพคล่องที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ทั้งจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติ, เม็ดเงินกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง และกองทุน TESG เกิน 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนน้อยลง

ทั้งนี้ ทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในช่วงขาลงมักสนับสนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในรอบการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ ได้แก่ ในเดือน พ.ย. และเดือน ธ.ค. 2567 ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในรอบเดือน ธ.ค. 2567

ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ครึ่งปีหลังจะทำได้ราว 5.9 แสนล้านบาท หรือเติบโตโดดเด่น 27% จากฐานกำไรช่วงไตรมาส 4/2566 ที่ค่อนข้างต่ำระดับ 4.6 แสนล้านบาท โดยเฉพาะกำไรงวดไตรมาส 4/2566 ที่ต่ำเพียง 1.7 แสนล้านบาท หนุนกำไรบจ.เติบโตได้ดีเช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง กำไรปีหน้าเติบโต และมี ESG Rating สูง คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB, และ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG

“ปัจจัยเสี่ยงที่กลัวในช่วงที่เหลือของปีนี้คือ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่มีโอกาสรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกให้พุ่งแรง และจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงทำให้ทิศทางดอกเบี้ยขาลงอาจจบลง” นายเทิดศักดิ์ กล่าว

นายเทิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า เป้าหมายดัชนีปี 2568 อยู่ที่ระดับ 1,700 จุด โดยมีปัจจัยหนุนตลาดจากกำไรบจ.ที่เติบโตระดับ 8% และทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง ซึ่งในส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าปีหน้าจะลดลงระดับ 1.25-1.50% รวมถึงอัตราการเติบโตของจีดีพีไทยที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

Back to top button