น้ำมันดิบปิดร่วงหลังผลผลิตรัสเซียพุ่ง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 ก.พ.) หลังมีรายงานว่า รัสเซียผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนม.ค. รวมทั้งรายงานจากการปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ร่วงลง 1.74 ดอลลาร์ หรือ 5.5% ปิดที่ (2 ก.พ.) 29.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 1.52 ดอลลาร์ หรือ 4.4% ปิดที่ 32.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด โดยล่าสุดกระทรวงพลังงานรัสเซียรายงานว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของรัสเซียในเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 1.5% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.88 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ API รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 29 ม.ค. พุ่งขึ้น 3.8 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า รัสเซีย และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ยังไม่มีแนวโน้มที่จะทำข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต พร้อมกับคาดการณ์ว่า โอเปกจะยังไม่มีการจัดประชุมฉุกเฉินในระยะนี้ รายงานระบุว่า การผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นของอิรักและอิหร่านทำให้ตลาดน้ำมันเผชิญภาวะน้ำมันล้นตลาดมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีปริมาณน้ำมันส่วนเกินในตลาดกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน และฉุดให้ราคาน้ำมันดิ่งลง 70% นับตั้งแต่กลางปี 2014
นักลงทุนจับตาดูสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ในวันนี้ เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์จากซิตี้ ฟิวเจอร์ส คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบซึ่ง EIA จะเปิดเผยในวันนี้ อาจจะเพิ่มขึ้นราว 5-6 ล้านบาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้นราว 1-2 ล้านบาร์รเล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นคาดว่าจะลดลงราว 1-2 ล้านบาร์เรล