NDR ปิดบวก 8% นิวไฮรอบ 7 ปี มั่นใจธุรกิจ “เทิร์นอะราวด์” รายได้แตะเป้า 900 ล้านบาท
NDR ปิดตลาดวันนี้เพิ่มขึ้น 8% นิวไฮในรอบ 7 ปี คาดหวังผลงานปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” วางเป้าหมายรายได้แตะระดับ 900 ล้านบาท เดินหน้าผลิต-จำหน่ายยางนอกรถจักรยานยนต์เต็มสูบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 พ.ย.67) ราคาหุ้น บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 4 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 8.11% สูงสุดที่ระดับ 4 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.66 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 54.93 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 7 ปี นับตั้งแต่ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 4.02 บาท เมื่อวันที่ 10 ส.ค.60
โดยก่อนหน้านี้ นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ NDR เปิดเผยความคืบหน้าการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กซ์โทรนิค จำกัด ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างทยอยติดตั้งเครื่องทดสอบ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในปี 67 นี้ และจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาประมาณไตรมาส 1 หรือ 2 ของปี 68 เป็นต้นไป
สำหรับบริษัทย่อยแห่งใหม่นี้ จะตรวจสอบและทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับระบบเครือข่าย 5G และอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตไร้สาย เพื่อเจาะตลาด 5G ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้ใน Data Center ต่าง ๆ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ และกระจายฐานรายได้ของธุรกิจ สร้างการเติบโตที่สำคัญอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
“เรามองว่าศักยภาพของตลาดอุปกรณ์ทดสอบ 5G กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวของเครือข่าย 5G และ Data Center ทั่วโลก ซึ่งเราจะเป็นส่วนหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนาโซลูชั่นส์ทดสอบเพื่อให้อุปกรณ์ที่ต้องไปใช้ในเครือข่าย 5G และ Data Center ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด และนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” นายชัยสิทธิ์ กล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ โดยวางเป้ารายได้อยู่ที่ 900 ล้านบาท โดยยังคงโฟกัสกลุ่มธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ ซึ่งตลาดยางรถจักรยานยนต์ในประเทศและต่างประเทศ ยังสามารถเติบโตได้อย่างดี ซึ่งบริษัทฯส่งออกยางรถจักรยานยนต์ไปยังหลายประเทศ โดยตลาดหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน และประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต
นอกจากนี้ บริษัทฯได้มีแผนการขยายพอร์ตสินค้า High Margin มากขึ้น และให้ความสำคัญเรื่องการควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปรับโครงสร้างการขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงให้มีสัดส่วนมากขึ้น