JMT เด้ง 7% โบรกอัพเป้าใหม่ 22 บาท ลุ้นกำไร Q3 แตะ 420 ล้าน

JMT เด้ง 7% บล.บัวหลวง ชี้กำไรไตรมาส 3/67 แตะ 420 ล้านบาท รวมถึงเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ขึ้นอีก 13% จากการตั้งสำรองลดลง ควบคุมค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ และมีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มจาก JK AMC ปรับราคาเป้าหมายใหม่ 22 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 พ.ย.67) ราคาหุ้น บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ณ เวลา 10:39 น. อยู่ที่ระดับ 20.10 บาท บวก 1.40 บาท หรือ 7.49% สูงสุดที่ระดับ 20.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 19.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 636.54 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดการณ์กำไรสุทธิของ JMT ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 420 ล้านบาท หรือปรับเพิ่ม 8% จากประมาณการก่อนหน้าที่ 390 ล้านบาท อย่างไรก็ดีกำไรดังกล่าวลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง และการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น แต่จะเพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากรายได้ที่สูงขึ้นและการตั้งสำรองที่ลดลง

ขณะเดียวกันได้ประมาณการการเก็บเงินสดในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ตามอัตราส่วนการเก็บเงินสดต่อหนี้คงค้างที่ 1.29% เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าลูกค้าหลายรายเริ่มชำระเงินรายเดือนหลังจากที่มีข่าวว่า JMT เริ่มดำเนินการฟ้องร้องลูกหนี้ที่ไม่ยอมชำระหนี้อย่างจริงจัง

ทั้งนี้ เมื่อมองไปยังไตรมาส 4/2567 คาดกำไรสุทธิที่ 445 ล้านบาท ลดลง 18% จากปีก่อน (อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) แต่เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสที่ผ่านมา (รายได้ที่สูงขึ้นและการตั้งสำรองที่ลดลง)

นอกจากนี้ ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 13% เป็น 1.6 พันล้านบาท (ลดลง 18% จากปีก่อน) เนื่องจาก 1.ปรับลดประมาณการอัตราการตั้งสำรองจาก 3.7% เป็น 3.4% 2.ปรับลดประมาณการค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลง 2% เป็น 530 ล้านบาท และ 3.ปรับเพิ่มประมาณการส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC ขึ้น 13% เป็น 506 ล้านบาท

อีกทั้ง ยังปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ขึ้น 18% เป็น 1.9 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน) อิงจากประมาณการการเก็บเงินสดปี 2568 ที่ 5.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน (ตามอัตราส่วนการเก็บเงินสดต่อหนี้คงค้างที่ตั้งเป้าไว้ที่ 23.8% เพิ่มขึ้น 0.19% จากปีก่อน) ดังนั้นราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2568 จึงปรับเพิ่มจาก 15 บาท เป็น 22 บาท และปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ขาย” เป็น “ซื้อ”

ด้านการเก็บเงินสดของ JMT คาดจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567 เนื่องจากมองว่าลูกค้าหลายรายเริ่มชำระเงินรายเดือน หลังจากที่บริษัทเริ่มดำเนินการฟ้องร้องลูกหนี้ที่ไม่ยอมชำระหนี้อย่างจริงจังในไตรมาส 2/2567 นอกจากนี้ยังพบสองตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่คาดจะหนุนการเก็บเงินสดในครึ่งหลังของปี 2567

ขณะที่ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเฉลี่ยอยู่ที่ 153.9 ในไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.0% จากไตรมาสที่ผ่านมา และดัชนีการค้าปลีกเฉลี่ยในเดือน ก.ค. และส.ค. 2567 อยู่ที่ 140.8 เพิ่มขึ้น 26.3% จากไตรมาส 3/2566 และเพิ่มขึ้น 6.6% จากไตรมาส 2/2567 นอกจากนี้คาดดัชนีการบริโภคภาคเอกชนและดัชนีการค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในไตรมาส 4/2567 (ซึ่งปกติแล้วจะสัมพันธ์กับการเก็บเงินสดที่มากขึ้นสำหรับ JMT)

ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าในช่วงระหว่างไตรมาส 1/2561 ถึงไตรมาส 2/2567 การเก็บเงินสดของบริษัทมีความสัมพันธ์ 75% กับดัชนีการบริโภคภาคเอกชน และ 67% กับดัชนีการค้าปลีก ซึ่งหมายความว่าการเก็บเงินสดของ JMT มักจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนและ/หรือดัชนีการค้าปลีกเพิ่มขึ้น

Back to top button