MINT เด้ง 1% รับข่าวเตรียมตั้ง “กองรีท” มูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10%
MINT เด้ง 1% มั่นใจรายได้ปีนี้โต 8-10% เดินหน้าลดสัดส่วนหนี้ต่อทุนเหลือ 0.8 เท่า ภายในสิ้นปีนี้ เล็งตั้งกองรีท (Hospitality REITS) มูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 12-18 เดือนข้างหน้า หวังลดระดับหนี้-ลดความผันผวนค่าเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 พ.ย.67) ราคาหุ้น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ณ เวลา 10:52 น. อยู่ที่ระดับ 27.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.93% สูงสุดที่ระดับ 28.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 27.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 284.29 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมา ตอบรับข่าว นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน MINT เปิดเผยว่า ภาพรวมรายได้รวมปี 2567 น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 8-10% จากปีก่อน ที่มีรายได้รวม 153,049.24 ล้านบาท และยังคงเดินหน้าปรับลดอัตราหนี้สินต่อทุนต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายจะให้อยู่ที่ระดับ 0.8 เท่า ภายในสิ้นปี 2567 นี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.98 เท่า ด้วยกระแสเงินสดที่มีและแผนการขายสินทรัพย์บางส่วน
“เรามีเป้าหมายลดสัดส่วนหนี้สิน โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินจะดีขึ้นในไตรมาส 4/2567 และปี 2568 ซึ่งจะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขับเคลื่อนด้วยการปลดล็อกเงินสด คงความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินที่สำคัญ เช่น การจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในเชิง Hospitality REITS คาดว่าภายใน 12-18 เดือนข้างหน้า จะสามารถลุล่วงได้ ขนาดกองจะอยู่ที่ประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดระดับหนี้และจะลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้” นายชัยพัฒน์ กล่าว
ด้านภาพรวมของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยธุรกิจโรงแรมช่วงไตรมาส 4/2567 มีทิศทางที่ดี มียอดจองห้องพักล่วงหน้าในทวีปเอเชียเติบโตมากกว่า 10% นำโดยโรงแรมในประเทศไทย และโรงแรมในบาหลี ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมภายไต้การบริหารทั้งหมดรวม 561 แห่ง และในอนาคตบริษัทจะเน้นขยายธุรกิจในรูปแบบรับจ้างบริหารเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัทมีสัดส่วนของ Asset Light ที่ 31% และในปี 2569 มีสัดส่วนของ Asset Light ที่ 50%
ขณะที่สถานการณ์ค่าเงินบาทในไตรมาส 4/2567 ที่มีทิศทางอ่อนค่าลง ส่งผลให้คาดว่าในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จะมีกำไรที่ไม่ใช่จากธุรกิจหลักอยู่ที่ประมาณกว่า 600 ล้านบาท และหากเงินบาทอ่อนตัวต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2567 คาดว่าจะมีกำไรชดเชยผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (Fx) ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาได้
สำหรับปี 2567 บริษัทตั้งงบลงทุน 10,000 ล้านบาท โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่ใช้สำหรับการปรับปรุงโรงแรมในสัดส่วน 66% เพื่อปรับเพิ่มคุณภาพสินทรัพย์ห้องพักและปรับปรุงอัตราห้องพักได้ และใช้ในการขยายโรงแรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและร้านอาหาร และเงินลงทุนในอนาคตเฉลี่ย 3 ปี จะอยู่ที่ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทำแผน 3 ปี ให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตามเป้าหมายการเติบโตในระยะยาว บริษัทยังเดินหน้าขยายโรงแรมให้ได้กว่า 800 โรงแรม และขยายร้านอาหารเพิ่มเป็นกว่า 3,700 สาขา
นายชัยพัฒน์ กล่าวอีกว่า ธุรกิจโรงแรมที่ผ่านมาขยายตัวได้ดี เป็นผลจากการดำเนินการด้านกลยุทธ์ของบริษัทในการอัพเกรดโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาเฉลี่ยห้องพักสูงขึ้นได้ รวมถึงกลยุทธ์ในการพัฒนาระบบการจองห้องพัก และให้นักท่องเที่ยวจองห้องพักผ่าน Retail Rate และการบริหารจัดการกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอินเดีย ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง เป็นต้น ส่วนกลุ่มร้านอาหาร (Minor Food) นั้น การขยายธุรกิจของร้านอาหาร จะมีสัดส่วนแฟรนไชส์สูงมาก และในช่วง 2 ปีข้างหน้า จะเห็นตลาดใหม่ ๆ ที่เข้าไปในทวีปเอเชียมากขึ้น