ดาวโจนส์ปิดร่วง 211 จุด หลังสหรัฐฯเผยตัวเลขจ้างงาน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (5 ก.พ.) หลังจากตลาดประเมินว่าข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐแสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับตลาดแรงงานสหรัฐ ท่ามกลางราคาน้ำมันที่อ่อนแรง
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วง 211.61 จุด หรือ 1.29% ปิด (5 ก.พ.) ที่ 16,204.97 จุด, ดัชนี S&P 500 รูดลง 35.40 จุด หรือ 1.85% ปิดที่ 1,880.05 จุด และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 146.42 จุด หรือ 3.25% ปิดที่ 4,363.14 จุด สำหรับในช่วงสัปดาห์นี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 1.6% ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 3.1% และดัชนี Nasdaq ทรุดลง 5.4%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 151,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. จากระดับ 262,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 5.0% กระทรวงระบุว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 158,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานลดลง 7,000 ตำแหน่ง
นักวิเคราะห์มองว่าข้อมูลจ้างงานที่มีการปรับตัวในทิศทางแตกต่างกันแทบไม่ได้สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ด้านหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้ประเมินถึงการขยายตัวของการจ้างงานที่ชะลอลงมาหลายเดือนแล้ว ดังนั้น การชะลอตัวครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะสร้างความผ่อนคลายแก่เฟดมากกว่าที่ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะอ่อนแอทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนคาดว่ามีโอกาสมากขึ้นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากมีการเปิดเผยอัตราการว่างงานที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 8 ปี และการเพิ่มขึ้นของค่าจ้าง ซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของเฟด ส่วนดัชนี Nasdaq ร่วงหนักเมื่อคืนนี้ เนื่องจากมีแรงเทขายหลังจากมีการคาดการณ์ที่อ่อนแรงจากบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นลิงค์อิน ทรุดลงกว่า 40% หลังจากบริษัทเปิดเผยคาดการณ์รายได้ที่ต่ำกว่าคาด
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ร่วงลงต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ก็เป็นปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่อุปทานน้ำมันจำนวนมากยังคงถ่วงตลาด ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก