IVF ดีด 6% แย้มผลงานปีหน้าโตเด่น ลุยขยายตลาดใหม่ในประเทศ-ตปท.
IVF ดีดบวก 6% แย้มผลงานปีหน้าโตเด่นกว่าปีนี้ ลุยขยายตลาดใหม่ในไทย-ต่างประเทศ พ่วงเล็งเปิดดีลกับพันธมิตรตะวันออกกลาง โบรกฯคาดกำไรสุทธิโตเฉลี่ย 31% ช่วงปี 67-69 แนะซื้อเคาะเป้าสูง 5.50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(12ธ.ค.67) บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF ณ เวลา 10:13 น. อยู่ที่ระดับ 2.14 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 5.94% ราคาสูงสุด 2.16 บาท ราคาต่ำสุด 1.97 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 102.36 ล้านบาท
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานกรรมการบริการ บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF กล่าวว่า อยากให้นักลงทุนมองที่พื้นฐานของธุรกิจ IVF และลงทุนในระยะยาว โดยปัจจุบัน IVF มีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของคู่สมรส ผ่านทีมงานบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมลงทุนในอุปกรณ์ เครื่องมือ และห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย ที่สำคัญบริษัทเป็นที่แรกของกลุ่มธุรกิจศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากในภูมิภาคเอเชียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน AACI และ ISO:9001 รวมถึงการรับรองมาตรฐานสากลจากประเทศเยอรมนี Temos (Trust, Effective Medicine, Optimized Services) แห่งแรกในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยอัตราความสำเร็จ (Success Rate) ย้อนหลัง 3 ปีตั้งแต่ 2564-2566 สูงกว่าค่าเฉลี่ยและสูงสุดถึง 70-76%
นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IVF กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2567 ยังเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และภาพรวมทั้งปี 2567 น่าจะดีกว่าปี 2566 ที่มีรายได้รวม 122 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากยังคงมีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ (สัดส่วนเกิน 80%)
ขณะที่แผนการดำเนินงานของปี 2568 บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตกว่าปี 2567 เนื่องจากจะมีการเน้นขยายตลาดใหม่ และบริการใหม่ที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพ ทั้งในตลาดประเทศไทย และตลาดต่างประเทศ โดยจะทำให้ IVF มีฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเสริมฐานลูกค้าเดิมค่อนข้างมาก เชื่อว่าหากดำเนินการตามแผนงานจะช่วยให้รายได้จากการบริการและการขายเติบโตมากขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกของ IVF หลังจากนี้จะมาจาก 1.การขยายบริการมีศักยภาพในการเติบโต 2.การขยายตลาดต่างประเทศ โดยในปี 2568 จะมีการเดินทางไปเจรจากับพันธมิตรตะวันออกกลาง และคาดว่าจะใช้เวลาในการสรุปดีลไม่นาน ซึ่งจะถือเป็นดีลแรกในการขยายสาขาบริการไปต่างประเทศ 3.การเน้นฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง จะทำให้รายได้ต่อบิลสูง และมีความสามารถในการทำกำไร (มาร์จิ้น) ที่ดี
4.การที่ประเทศไทยตั้งเป้าหมายเป็น Medical Hub จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพโดยตรง 5.ศักยภาพที่เหนือคู่แข่ง ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ที่สามารถทำอัตราความสำเร็จได้เกิน 70% และสูงกว่าอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก รวมถึงการได้รับมาตรฐานระดับโลกทั้งฝั่งอเมริกา และยุโรป ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ IVF และ 6.ปี 2568 ประเทศไทยจะมีการพิจารณาร่างกฎหมาย พ.ร.บ. อุ้มบุญ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาผู้มีบุตรยาก
“การเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นก้าวสำคัญของ IVF ที่ตั้งใจต่อยอดความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่สั่งสมมา เพื่อพัฒนาการรักษาผู้มีบุตรยากให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้เป้าหมายการเป็นศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากชั้นนำที่ผู้คนไว้วางใจ ทั้งในระดับประเทศและระดับเอเชีย ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 84 ล้านบาท ใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขา 190 ล้านบาท และใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจให้บริการดูแลสุขภาพโดยรวม (wellness) เป็นต้น 114 ล้านบาท” นางสาวเกศิณี กล่าว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า ประเมินมูลค่าเหมาะสมสิ้นปี 2568 ของ IVF เท่ากับ 5.50 บาทต่อหุ้น หลังประมาณการกำไรสุทธิในปี 2568 อยู่ที่ 83.67 ล้านบาท จำนวนหุ้น 440 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.19 บาท และประเมิน PER ที่เหมาะสมเท่ากับ 28.9 เท่า (ใกล้เคียงกันกับค่าเฉลี่ย PER ของหุ้นที่อยู่ที่ในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่าง GFC และ SAFE + 0.25 S.D.)
โดยจุดเด่น และความแตกต่าง IVF ดำเนินอยู่เป็นธุรกิจที่อยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ของโลก บริษัทมีทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความชำนาญ สถานประกอบการได้รับมาตรฐานสากลจากหลายสถาบัน รวมถึงฐานลูกค้าที่มีอยู่ใน หลาย ๆ ประเทศ ทั้งไทย อินเดีย จีน เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นต้น นอกจากนี้ด้วยความมุ่งมั่นของผู้บริหารที่วางแผนและทำการตลาดต่างประเทศตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการ ในแง่ของขนาดบริษัทที่ไม่ใหญ่นักคาดว่ายังเห็นการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิในลักษณะ Double digit ต่อเนื่องไปใน 3 ปีข้างหน้า
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินราคาที่เหมาะสมของ IVF ไว้ที่ราคา 5.30 บาทต่อหุ้น อ้างอิง PER ปี 2568 ที่ 28 เท่า สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก หลังจากเพิ่มทุนไอพีโอ มองว่าจะมีการขยายการเติบโต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งมีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มเติม 2 สาขา ภายใน 3 ปี นอกจากนี้ได้คาดการณ์กำไรสุทธิของ IVF มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 31% ช่วงปี 2567-2569 อยู่ที่ 25 ล้านบาท, 83 ล้านบาท และ 93 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งมีปัจจัยดังนี้ 1.การขยายให้บริการกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ 2.เพิ่มบริการด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูเพื่อตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม และ 3.การขยายสาขา