TOP ร่วงต่อ 7% เซ่นโบรกแนะ “ขาย” หั่นเป้าเหลือ 29 บ. จับตาแถลงเพิ่มเงินลงทุน CFP วันนี้

TOP ร่วงต่อ 7% เซ่นโบรกแนะ "ขาย" พร้อมหลีกเลี่ยงการลงทุน อีกทั้งลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 29 บาท จากเดิม 40 บาท จับตา CEO แถลงรายละเอียดเพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP วันนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ธ.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 10:41 น. อยู่ที่ระดับ 25.25 บาท ลบ 2.00 บาท หรือลงไป 7.34% สูงสุดที่ระดับ 26.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 24.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 903.61 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ RHBS  ระบุ จากข่าว TOP มีมติเพิ่มเงินลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ราว 6.3 หมื่นล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างก่อสร้างราว 1.79 หมื่นล้านบาท จากเหตุการณ์ผู้รับเหมาหลักไม่ชำระค่าจ้างให้กับผู้รับเหมาช่วง ทำให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างและส่งผลให้ต้องเพิ่มลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี 71 ล่าช้ากว่าเดิมที่คาดว่าจะทยอยเสร็จในปี 68 เชื่อว่าตลาดจะปรับลดราคาเป้าหมายของ TOP ลงและปรับคำแนะนำลงทุนเป็น “ขาย”

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “หลีกเลี่ยง” หุ้น TOP จนกว่าจะเจรจากับผู้รับเหมาได้ทั้งผู้รับเหมาหลักและผู้รับเหมาช่วง แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายค่อนข้างถูก (-1.75SD) แต่ปัจจัยความไม่แน่นอนดังกล่าวยังกดดัน จึงลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 29 บาท จากเดิม 40 บาท ใช้มูลค่าทางบัญชีที่นำโครงการ CFP ออก

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  หรือ MST ระบุว่า ในสัปดาห์นี้อาจยังเห็นแรงปรับพอร์ตหุ้น TOP ของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามเช้าวันนี้ทาง นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP นัดชี้แจงรายละเอียดประเด็นการเพิ่มงบประมาณลงทุนโครงการ CFP

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS กล่าวภายหลังจากร่วมประชุมกับผู้บริหารบริษัท ไทยออยล์ ว่า KS ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น TOP เมื่อเทียบหุ้นกลุ่มโรงกลั่นด้วยกันจะอยู่ระหว่าง 27.50-32.50 บาท ราคานี้ไม่รวมโครงการ CFP ไว้ด้วย ถือว่าราคาปัจจุบันเป็นระดับที่ไม่แพงและมีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูง

ขณะที่ TOP มีแผนออกบอนด์ประมาณ 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกระแสเงินสดจากธุรกิจในอนาคตประมาณ 1,200-1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้เป็นทุนในการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จตามแผน โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จะยืดระยะเวลาการชำระค่าน้ำมันให้แก่ไทยออยล์เป็น 60-90 วัน จากเดิม 30 วัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้กับไทยออยล์ โดยบริษัทยืนยันว่าไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุนอย่างแน่นอน

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า การเพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP ประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท TOP จะใช้แหล่งเงินทุนจากการออกหุ้นกู้, หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond), กระแสเงินสด รวมถึงอาจมีการทำ Asset Monetization แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน โดยโครงการ CFP จะเลื่อนการเปิดดำเนินการจากปี 2568 เป็นปี 2571 โดยกำลังการผลิตของ TOP จาก 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน และทำให้ Margin เพิ่มขึ้น 20,000 ล้านบาทต่อปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ราคาหุ้น TOP ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 4 ปี ที่ 25.25 บาท โดยราคาปิดที่ 27.25 บาท ลดลง 22.14% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3,219 ล้านบาท เป็นผลจากนักลงทุนเกิดอาการตื่นตระหนก (แพนิก) หลังจากประชุมคณะกรรมการไทยออยล์มีมติเพิ่มเงินลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922

ล้านบาท ส่งผลให้งบประมาณลงทุนทั้งหมดของโครงการ CFP เพิ่มเป็นเงินประมาณ 241,472 ล้านบาท หรือประมาณ 7,151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 37,216 ล้านบาท หรือประมาณ 1,078 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน 278,688 ล้านบาท โดยจะมีการเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 21 ก.พ. 2568 เพื่อขอความเห็นชอบเรื่องดังกล่าว

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า กรณีราคาหุ้น TOP ปรับตัวลงมามากนั้น เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว ยืนยันว่าบริษัทมีแนวทางแก้ไขปัญหา และเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว

โดยนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทยังคงจ่ายอัตราสูง โดยปีที่ผ่านมาอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือดิวิเดนด์ยีลด์สูงถึง 7% ดังนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนที่จะได้ดิวิเดนด์ยีลด์ที่สูงขึ้น (ล่าสุดอยู่ที่ 12.46%) หลังจากราคาหุ้น TOP ปรับตัวลงมามาก

ส่วนการเพิ่มงบลงทุนโครงการพลังงานสะอาดที่ตลาดตื่นตระหนก (แพนิก) ว่าสูงมากกว่า 8 หมื่นล้านบาทรวมดอกเบี้ยนั้น เป็นเพียงกรอบการลงทุนเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้เต็มวงเงินที่ขอมาทั้งหมด บริษัทจะต้องบริหารจัดการให้เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุนให้มากที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองด้อยค่าโครงการ CFP เนื่องจากโครงการยังคงดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน ไม่เหมือนกรณีของโครงการที่เสร็จแล้วแต่หยุดดำเนินงาน หรือประกาศยกเลิกโครงการที่จำเป็นต้องตั้งด้อยค่าดังกล่าว โดยมองว่าโครงการ CFP ต้องเดินหน้าต่อไปจนเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบต่อคู่แข่งในอนาคต เนื่องจากโรงกลั่นใหม่ที่ทันสมัยมีต้นทุนที่ต่ำและมาร์จิ้นที่สูงกว่าปัจจุบันกว่าเท่าตัว

“โรงกลั่นในอนาคตจะเหลือเพียงไม่กี่ราย เพราะการแข่งขันสูง แต่เมื่อ CFP สร้างเสร็จแล้ว เราจะอยู่ในฐานะได้เปรียบคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะโรงกลั่นที่ยังไม่มีการปรับปรุงระบบการผลิต”

ขณะที่ โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบัน 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำในภูมิภาค ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทในระยะยาว หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง

Back to top button